Dataset Viewer
Auto-converted to Parquet Duplicate
context
stringlengths
295
25.9k
meta
stringlengths
11
11
ตราสารที่เชื่อมโยงกับตราสารทุน 3. ใบสำคัญแสดงสิทธิ (Warrant) 3.1 ความหมายและเงื่อนไขต่างๆ ของ Warrant (วอแรนต์) 1. ความหมายโดยสากล Warrant เป็น Option (ออปชั่น) ประเภทหนึ่ง ที่มีลักษณะเป็นสัญญาที่ให้สิทธิในการซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิง (Underlying Asset) ในระยะเวลาที่กำหนด เช่นเดียวกับ DW โดย Warrant ส่วนใหญ่จะอ้างอิงกับหุ้นสามัญ 2. ความหมายในไทย Warrant เป็นสัญญาที่ให้สิทธิในการจะซื้อหุ้นสามัญอ้างอิง ในระยะเวลาที่กำหนด (ระยะเวลาส่วนใหญี่อยู่ระหว่าง 2 – 10 ปี) โดยผู้ออก Warrant จะเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นั่นเอง โดยเนื้อหาต่อจากนี้จะกล่าวถึง Warrant ไทยเท่านั้น 3. เงื่อนไขที่สำคัญของ Warrant ตัวอย่าง Warrant ที่ให้สิทธิในการซื้อหุ้นสามัญ AAA (AAA-W) 1. หลักทรัพย์อ้างอิง เช่น หุ้นสามัญ AAA คือ Warrant ให้สิทธิในการซื้อหุ้น AAA 2. อัตราการใช้สิทธิ เช่น 1 : 1 คือ Warrant 1 หน่วย มีสิทธิซื้อหุ้นสามัญได้ 1 หุ้น 3. ราคาใช้สิทธิ เช่น 15.00 บาท คือ เงินที่ต้องจ่ายเพื่อใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญ 1 หุ้น 4. กำหนดการใช้สิทธิ เช่น ทุกไตรมาส คือ ใช้สิทธิได้ในเดือน 3, 6, 9, 12 5. วันหมดอายุ เช่น 30 มิ.ย. 2019 คือ สัญญาหมดอายุ และใช้สิทธิได้ครั้งสุดท้าย 3.2 ความแตกต่างระหว่าง DW และ Warrant ประเภทของสิทธิ DW: Call และ Put Warrant (ไทย): Call รูปแบบการใช้สิทธิ DW: European Warrant (ไทย): Pseudo-American อายุของตราสาร DW: ≤ 2 ปี Warrant (ไทย): 2 – 10 ปี ผู้ออกตราสาร DW: ธนาคาร, บล. Warrant (ไทย): บริษัทของหลักทรัพย์อ้างอิง (เช่น ผู้ออก Warrant ที่ให้สิทธิซื้อหุ้น AAA ต้องเป็นบริษัท AAA เท่านั้น) การส่งมอบ DW: Physical, Cash Settlement (ไทย) Warrant (ไทย): Physical กรณีส่งมอบ Physical DW: ใช้หุ้นเดิมในตลาด Warrant (ไทย): บริษัทออกหุ้นใหม่ (การออกหุ้นใหม่ ส่งผลให้เกิด Dilution effect ส่งผลลบต่อราคาหุ้น และ Warrant) Credit Risk DW: มี (เนื่องจากผู้ออกต้องหาหุ้นมาให้ หรือ ต้องชำระส่วนต่างราคา) Warrant (ไทย): ไม่มี (เนื่องจากหุ้นที่ให้ บริษัทสามารถออกหุ้นเพิ่มเองได้) ผู้ดูแลสภาพคล่อง DW: ต้องมี ≥ 1 ราย Warrant (ไทย): ไม่ต้องมี วัตถุประสงค์การออก DW: เป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงิน Warrant (ไทย): ระดมทุน ภาษีเมื่อมีการส่งมอบ DW: มีภาษี Warrant (ไทย): ไม่มีภาษี การปรับสิทธิเมื่อปันผล DW: ปรับทุกกรณี Warrant (ไทย): ปรับเมื่อปันผล > อัตราที่ผู้ออกกำหนด การได้มาของตราสารในครั้งแรก DW: ได้จากผู้ออกด้วยวิธี Direct Listing (Direct Listing เป็นวิธีการซื้อขายโดยการนำ DW เข้าตลาดหลักทรัพย์ และซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่ครั้งแรก (ไม่มีการจองซื้อก่อนเข้าตลาด)) Warrant (ไทย): - ให้ผู้ถือหุ้นเดิม (เช่น บริษัท AAA แจก Warrant ให้กับผู้ถือที่หุ้น AAA) โดยอาจแจกฟรีหรือขาย - ขายให้ผู้ลงทุนทั่วไป อัตราส่วนที่ใช้วิเคราะห์ DW: มีทั้ง Call DW และ Put DW Warrant (ไทย): เหมือน Call DW การประเมินมูลค่า DW: มีทั้ง Call DW และ Put DW Warrant (ไทย): เหมือน Call DW 3.3 กลยุทธ์พื้นฐานของการลงทุนใน Warrant 1. ซื้อ Warrant แล้วใช้สิทธิซื้อสินทรัพย์อ้างอิง เป็นการซื้อ Warrant (ซื้อสิทธิที่จะซื้อหุ้น) โดยมีความตั้งใจและเตรียมเงินทุนไว้สำหรับการใช้สิทธิซื้อหุ้นในอนาคต เช่น ผู้ลงทุนมีเงิน 1 ล้านบาท และซื้อ Warrant 1 แสนบาท และเตรียมเงิน 9 แสนไว้เพื่อใช้สิทธิซื้อหุ้น 2. เก็งกำไรจากการซื้อแล้วขายเมื่อราคา Warrant ปรับตัวสูงขึ้น เป็นการซื้อ Warrant (ซื้อสิทธิที่จะซื้อหุ้น) โดยไม่มีความตั้งใจและการเตรียมเงินเพื่อจะใช้สิทธิซื้อหุ้นในอนาคต เช่น ผู้ลงทุนมีเงิน 1 ล้านบาท และซื้อ Warrant ทั้งหมด 1 ล้านบาท ทั้งนี้ ที่ผู้ลงทุนเลือกซื้อ Warrant แทนสินทรัพย์อ้างอิง เนื่องจาก Warrant มีความผันผวนของราคามากกว่า และผู้ลงทุนเชื่อว่าราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นในกรณีที่สินทรัพย์อ้างอิงปรับตัวขึ้น Warrant จะปรับตัวขึ้นมากกว่า และอาจทำกำไรหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ (ไม่มีเพดานของกำไร) ขณะที่หากราคาสินทรัพย์อ้างอิงปรับตัวลดลง Warrant จะปรับตัวลดลงมากกว่าเช่นกัน แต่การขาดทุนจะไม่เกิน -100% ของเงินลงทุนใน Warrant นั่นเอง
1345177.txt
การวิเคราะห์และกลยุทธ์การลงทุนในกองทุนรวม 1. การพิจารณาเลือกกองทุนรวม เพื่อให้ได้กองทุนรวมที่เหมาะสมกับผู้ลงทุนและจังหวะในการลงทุนนั้น จะต้องวิเคราะห์ทั้งตัวผู้ลงทุน, ข้อมูลกองทุน และสภาพแวดล้อมการลงทุน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 1.1 การวิเคราะห์ผู้ลงทุน 1. เป้าหมาย เช่น การลงทุนเพื่อเป็นเงินทุนยามเกษียณ, สร้างกระแสเงินสดหลังเกษียณ, การลงทุนเพื่อการศึกษาบุตร 2. วัตถุประสงค์การลงทุน/รูปแบบผลตอบแทนที่ต้องการ เมื่อได้เป้าหมายการลงทุน จะสามารถกำหนดวัตถุประสงค์การลงทุนและกองทุนรวมที่เหมาะสม เช่น ตัวอย่างที่ 1 เป้าหมาย: เก็บเงินเพื่อเกษียณในอีก 30 ปี วัตถุประสงค์การลงทุน/รูปแบบผลตอบแทน: เน้นการเติบโตของเงินทุน (Capital appreciation) กองทุนที่เหมาะสม: ควรเน้นลงทุนกองทุนหุ้นที่ไม่มีนโยบายการจ่ายเงินปันผล ตัวอย่างที่ 2 เป้าหมาย: สร้างกระแสเงินสดหลังเกษียณ วัตถุประสงค์การลงทุน/รูปแบบผลตอบแทน: เน้นรายได้ประจำจากการลงทุน (Current Income) กองทุนที่เหมาะสม: ควรเน้นลงทุนกองทุนที่มีความผันผวนต่ำ และมีนโยบายการจ่ายเงินปันผล เช่น กองทุนรวมตราสารหนี้, กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์, REITs 3. ระดับความเสี่ยงที่รับได้ เพื่อเลือกกองทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงของผู้ลงทุน 4. ความรู้เกี่ยวกับกองทุนรวม ความรู้ที่ดีจะช่วยให้ลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น สามารถลงทุนในสินทรัพย์ได้หลากหลายประเภท ทั้งในและต่างประเทศ 5. ข้อจำกัดและเงื่อนไขในการลงทุน เช่น ระยะเวลาลงทุน, ความต้องการลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี 6. อื่นๆ เช่น แหล่งที่มาของเงินลงทุน, ความมั่นคงของรายได้, อัตราผลตอบแทนคาดหวัง ทั้งนี้ก่อนที่ผู้ลงทุนจะลงทุนในกองทุนรวมครั้งแรก บลจ. จะให้ผู้ลงทุนทำแบบประเมินตนเองเพื่อศึกษาข้อมูลผู้ลงทุน เพื่อให้คำแนะนำการลงทุนที่เหมาะสมกับผู้ลงทุนได้มากยิ่งขึ้น 1.2 การวิเคราะห์กองทุนรวม 1. นโยบายการลงทุนและสินทรัพย์ที่ลงทุน เป็นการวิเคราะห์ว่าสิ่งที่กองทุนลงทุนเหมาะสมกับผู้ลงทุนหรือไม่ 2. ลักษณะเฉพาะของสินทรัพย์ เป็นการวิเคราะห์ลักษณะเฉพาะของแต่ละสินทรัพย์ * หุ้นใหญ่/หุ้นเล็ก หุ้นใหญ่ในระยะยาวมักให้ผลตอบแทนต่ำกว่าหุ้นเล็ก แต่มักมีความเสี่ยงต่ำกว่าเช่นกัน * ตราสารหนี้ ตราสารหนี้แต่ละประเภทมีความเสี่ยงที่ต่างกัน * REITs / กองทุนรวมอสังหาฯ กองทุนรวมอสังหาฯ ที่มีรายได้แน่นอนจะมีความเสี่ยงกว่าที่มีรายได้ไม่แน่นอน เช่น กองทุนรวมอสังหาฯ ที่ลงทุนในห้างสรรพสินค้าหรืออาคารสำนักงานซึ่งมีสัญญาเช่าระยะยาวจะมีความเสี่ยงต่ำกว่ากองทุนรวมอสังหาฯที่ลงทุนในโรงแรม ซึ่งรายได้ขึ้นอยู่กับผู้เข้าพักในแต่ละวัน 3. ผลการดำเนินงานในอดีต เป็นการวิเคราะห์ทั้งอัตราผลตอบแทนและความเสี่ยงในอดีต เพื่อวิเคราะห์ความสามารถในการบริหารกองทุน และคาดการณ์ความสามารถในการบริหารกองทุนในอนาคต 4. ระดับความเสี่ยงกองทุน เป็นการวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านต่างๆ ของกองทุน 5. ขนาดกองทุน กองทุนขนาดเล็กจะมีสภาพคล่องน้อยกว่ากองทุนขนาดใหญ่ 6. กลยุทธ์บริหารกองทุน เป็นการวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียของการบริหารเชิงรุกและเชิงรับ 7. ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้ 1) ค่าใช้จ่ายที่เก็บจากผู้ลงทุน คือ ค่าใช้จ่ายที่ บลจ. เก็บจากผู้ลงทุนโดยตรงเมื่อมีการซื้อ/ขาย/สับเปลี่ยนหน่วยลงทุน โดยคิดเป็น % ของจำนวนเงินที่ซื้อ/ขาย/สับเปลี่ยน ในแต่ละครั้ง * ค่าธรรมเนียมในขาย (Front End Fee) คือ ค่าธรรมเนียมที่กองทุนเรียกเก็บเมื่อขายกองทุนให้กับผู้ลงทุน (ผู้ลงทุนจ่ายเมื่อซื้อกองทุน) โดยค่าธรรมเนียมนี้จะสะท้อนอยู่ในราคาขายหน่วยลงทุน * ค่าธรรมเนียมรับซื้อคืน (Back End Fee) คือ ค่าธรรมเนียมที่กองทุนเรียกเก็บเมื่อรับซื้อกองทุนคืนจากผู้ลงทุน (ผู้ลงทุนจ่ายเมื่อขายกองทุน) โดยค่าธรรมเนียมนี้จะสะท้อนอยู่ในราคารับซื้อคืนหน่วยลงทุน * ค่าธรรมเนียมการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน (Switching Fee) คือ ค่าธรรมเนียมที่กองทุนเรียกเก็บเมื่อผู้ลงทุนสับเปลี่ยนกองทุนจากกองทุนหนึ่งไปอีกกองทุนหนึ่ง ซึ่งแบ่งย่อยได้ดังนี้ - ค่าธรรมเนียมการสับเปลี่ยนออก คือ ค่าธรรมเนียมที่กองทุนเรียกเก็บเมื่อผู้ลงทุนสับเปลี่ยนออกจากกองทุน - ค่าธรรมเนียมการสับเปลี่ยนเข้า คือ ค่าธรรมเนียมที่กองทุนเรียกเก็บเมื่อผู้ลงทุนสับเปลี่ยนเข้ามายังกองทุน 2) ค่าใช้จ่ายที่เก็บจากกองทุน คือ ค่าใช้จ่ายที่ บลจ. ทยอยเก็บจากกองทุนทุกวัน โดยคิดเป็น % ของมูลค่ากองทุนในแต่ละวัน ซึ่งการเก็บจากกองทุนนี้จะทำให้มูลค่ากองทุนลดลง และทำให้ผู้ถือหน่วยลงทุนได้รับผลตอบแทนลดลง * ค่าธรรมเนียนการบริหารจัดการ (Management Fee) บลจ. เก็บจากผู้ถือหน่วย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุน ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายหลักที่เก็บจากกองทุน * ค่าธรรมเนียมผู้ดูแลผลประโยชน์ (Trustee Fee) บลจ. เก็บจากผู้ถือหน่วย เพื่อนำไปจ่ายให้กับผู้ดูแลผลประโยชน์ของกองทุน * ค่าธรรมเนียมนายทะเบียน (Registrar Fee) บลจ. เก็บจากผู้ถือหน่วย เพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับนายทะเบียน * ค่าธรรมเนียนด้านการตลาด (Marketing Fee) บลจ. เก็บจากผู้ถือหน่วย เพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายด้านการตลาด การโฆษณากองทุน * ค่าตรวจสอบบัญชี (Audit Fee) บลจ. เก็บจากผู้ถือหน่วย เพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบบัญชีของกองทุน * ค่าใช้จ่ายรวม (Total Expense Ratio) คือ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เก็บจากกองทุน 1.3 สภาพแวดล้อมการลงทุน เมื่อผู้ลงทุนวิเคราะห์ตนเองและกองทุนรวมแล้วสิ่งที่สำคัญต่อมา คือ จังหวะในการลงทุน ดังนั้นผู้ลงทุนต้องวิเคราะห์สภาพแวดล้อมในการลงทุน เช่น ภาวะเศรษฐกิจ, แนวโน้มอัตราดอกเบี้ย, อัตราเงินเฟ้อ, โครงสร้างประชากร และปัจจัยอื่นๆ เพื่อวิเคราะห์ว่า ภายใต้สภาพแวดล้อมปัจจุบันตนเองควรลงทุนในกองทุนประเภทใด
1345155.txt
การประเมินมูลค่าหุ้นสามัญ 3. การประเมินมูลค่าแบบ Absolute Valuation เป็นการประเมินมูลค่าจากสินทรัพย์หรือกระแสเงินสดของกิจการ 3.1 Asset Based Approach เป็นการประเมินมูลค่าของหุ้นจากสินทรัพย์ของบริษัท ซึ่งสามารถแบ่งย่อยได้อีก 4 วิธี ดังนี้ 1. Book Value (มูลค่าตามบัญชี) คือ มูลค่าสินทรัพย์สุทธิทางบัญชี (หากพิจารณาจากสมการจะพบว่ามูลค่าตามบัญชี (Book Value) เท่ากับ ส่วนของเจ้าของในงบดุลนั่นเอง) แม้ว่าวิธีการนี้จะเป็นวิธีที่ง่าย เนื่องจากมูลค่าของสินทรัพย์และหนี้สิน มีระบุไว้ในงบการเงินแล้ว อย่างไรก็ตามข้อเสียที่สำคัญของวิธีนี้ คือ สินทรัพย์ที่บันทึกในบัญชีนั้นอาจไม่เท่ากับราคาตลาด เช่น บริษัทอาจบันทึกราคาที่ดิน 10 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาที่ซื้อมาเมื่อ 10 ปีแล้ว 2. Net Asset Value (มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ) คือ มูลค่าสินทรัพย์สุทธิตามมูลค่าตลาด ซึ่งเป็นหามูลค่าสินทรัพย์สุทธิโดยการใช้สินทรัพย์ตามราคาตลาด เพื่อแก้ไขจุดบกพร่องของ Book Value 3. Replacement Value (มูลค่าทดแทน) เป็นวิธีที่พิจารณาว่า “ถ้ามีการสร้างบริษัทที่คล้ายคลึงกับบริษัทที่กำลังประเมินมูลค่า จะต้องใช้จำนวนเงินเท่าไร” ซึ่งอาจต้องคำนึงถึง สินทรัพย์ตามราคาตลาด, ค่าใช้จ่ายในการเตรียมให้สินทรัพย์ใช้งานได้ (เช่น ค่าติดตั้งเครื่องจักร) 4. Liquidation Value (มูลค่าที่ขายทอดตลาดได้) วิธีนี้จะปรับสินทรัพย์ให้เป็นมูลค่าที่คิดว่าจะขายได้หากเลิกกิจการและหักด้วยหนี้สิน โดย Liquidation Value จะไม่รวมสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน และเป็นวิธีที่มักใช้ประเมินมูลค่าบริษัทที่กำลังจะล้มละลาย 3.2 Cash Flow Based Approach (Income Based Approach) เป็นวิธีการประเมินมูลค่าแท้จริงซึ่งนำหลักการมูลค่าเงินตามเวลา (Time Value of Money) มาใช้ โดยการคาดการณ์ถึงกระแสเงินสดในอนาคตที่ผู้ลงทุนได้รับจากการลงทุน และนำมาคิดลดด้วยอัตราคิดลด (Discount Rate) ให้เป็นมูลค่าในปัจจุบันโดยการประเมินมูลค่านั้นจะประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ 1. คาดการณ์กระแสเงินสดแต่ละปี (รวมถึงคาดการณ์ราคาขายกรณีกำหนดระยะเวลาถือครองหุ้น) 2. คิดลด (Discount) เงินกระแสเงินสดและราคาขายที่ได้รับในอนาคตกลับมาเป็นมูลค่าปัจจุบัน 3. นำมูลค่าปัจจุบันทั้งหมดมารวมกัน โดยรูปแบบของกระแสเงินสด (Cash Flow : CF) แบ่งเป็น 3 รูปแบบ 1. เงินปันผล 2. กระแสเงินสดอิสระของกิจการ 3. กระแสเงินสดอิสระของผู้ถือหุ้น 1. วิธีคิดลดเงินปันผล (Dividend Discount Model :DDM) เป็นการประเมินมูลค่า โดยการใช้ผลรวมของเงินปันผลในอนาคต มาคิดลดด้วยอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำที่ต้องการจากการลงทุนในหุ้น (k) 1) การประเมินมูลค่าด้วยวิธีคิดลดเงินปันผล การคำนวณจะประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ 1. คาดการณ์เงินปันผลแต่ละปี (รวมถึงคาดการณ์ราคาขายกรณีกำหนดระยะเวลาถือครองหุ้น) 2. คิดลด (Discount) เงินปันผลและราคาขายที่ได้รับในอนาคตกลับมาเป็นมูลค่าปัจจุบัน 3. นำมูลค่าปัจจุบันทั้งหมดมารวมกัน ทั้งนี้การคำนวณ DDM มี 2 กรณีใหญ่ๆ คือ กรณีกำหนดระยะเวลาถือหุ้น และกรณีไม่กำหนดระยะเวลาถือหุ้น - กรณีไม่กำหนดระยะเวลาการถือครองหุ้นและปันผลคงที่ทุกงวด (Zero Growth Dividend) ในกรณีนี้เงินปันผลที่คาดว่าจะได้รับจะเท่าเดิมไปตลอด โดยทั่วไปการคำนวณวิธีนี้จะประยุกต์ใช้กับการประเมินมูลค่าหุ้นบุริมสิทธิ ซึ่งให้ปันผลคงที่นั่นเอง - กรณีไม่กำหนดระยะเวลาการถือครองหุ้นและปันผลมีอัตราเพิ่มขึ้นเท่ากันทุกงวด (Constant growth) กรณีนี้มักประยุกต์ใช้กับหุ้นสามัญของบริษัทที่อยู่ในช่วงระยะอิ่มตัวแล้ว (กรณีที่บริษัทเข้าสู่ระยะอิ่มตัวแล้ว นักวิเคราะห์มักคาดการณ์ว่า อัตราการเติบโตและเงินปันผลของกิจการ จะใกล้เคียงกับอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ (GDP) ของประเทศ) - กรณีไม่กำหนดระยะเวลาการถือครองหุ้นและปันผลมีอัตราเพิ่มขึ้นไม่เท่ากันทุกงวด (Non constant growth) กรณีนี้มักประยุกต์ใช้กับหุ้นสามัญของบริษัทที่อัตราการเติบโตของปันผลไม่เท่ากัน 2. วิธีคิดลดกระแสเงินสดอิสระของกิจการ (Discounted Free Cash Flow to Firm) เป็นการประเมินมูลค่า โดยการใช้ผลรวมของเงินกระแสเงินสดอิสระของกิจการในอนาคตที่คิดลดด้วยต้นทุนของเงินทุนกิจการ (Weighted Average Cost of Capital : WACC) ทั้งนี้เงินกระแสเงินสดอิสระของกิจการ คือ กำไรที่อยู่ในรูปของเงินสดที่หักกระแสเงินสดรับและจ่ายในการทำธุรกิจ (เงินสดจากการซื้อและขายวัสดุอุปกรณ์ และเครื่องจักร) ทั้งหมดออกแล้ว ดังนั้นกระแสเงินสดอิสระของกิจการจะเป็นเงินสดที่สามารถจ่ายเป็นผลตอบแทนคืนให้กับทั้งเจ้าหนี้และผู้ลงทุนในตราสารทุน และมูลค่าที่ประเมินได้จะเป็นมูลค่าของกิจการไม่ใช่มูลค่าของหุ้น (หากต้องการหามูลค่าของหุ้นต้องนำมูลค่าของกิจการมาลบด้วยหนี้สินของกิจการ) การประเมินมูลค่าวิธีนี้จึงสามารถเปรียบเทียบมูลค่าของกิจการระหว่างกิจการที่มีโครงการเงินทุนที่ต่างกันได้ 3. วิธีคิดลดกระแสเงินสดอิสระของผู้ถือหุ้น (Discounted Free Cash Flow to Equity) เป็นการประเมินมูลค่า โดยการใช้ผลรวมของเงินกระแสเงินสดอิสระของผู้ถือหุ้นในอนาคตที่คิดลดด้วยต้นทุนของของส่วนของเจ้าของ (Cost of Equity) (โดยทั่วไปแล้ว อัตราผลตอบแทนขั้นต่ำที่ต้องการจากการถือหุ้น (เป็นมุมมองผู้ลงทุน) จะเท่ากับ ต้นทุนของส่วนของเจ้าของ (เป็นมุมมองเจ้าของกิจการ)) ทั้งนี้เงินกระแสเงินสดอิสระของผู้ถือหุ้น คือ กำไรที่อยู่ในรูปของเงินสดที่หักกระแสเงินสดรับและจ่ายในการทำธุรกิจ (เช่น เงินลงทุนในวัสดุอุปกรณ์ และเครื่องจักร) รวมถึงกระแสเงินสดรับและจ่ายจากหนี้สิน (รับจากกู้เพิ่มและจ่ายจากจ่ายคืนหนี้) ทั้งหมดออกแล้ว ดังนั้นกระแสเงินสดอิสระของผู้ถือหุ้นจะเป็นเงินสดที่สามารถจ่ายเป็นผลตอบแทนคืนให้ผู้ลงทุนในตราสารทุน และมูลค่าที่ประเมินได้จะเป็นมูลค่าของหุ้นนั่นเอง 3.3. ปัจจัยที่มีผลต่อมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น จากการประเมินมูลค่าแท้จริงของหุ้นด้วยวิธี Absolute Valuation จะเห็นได้ว่าปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อมูลค่าของหุ้นมีดังนี้ 1. มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ เห็นได้ชัดจากการประเมินมูลค่าแบบ Asset Based Approach ที่มูลค่าสินทรัพย์สุทธิจะเป็นตัวกำหนดมูลค่าของหุ้น นอกจากนี้สินทรัพย์ (เช่น สินค้า, วัตถุดิบ, เครื่องจักร) ยังเป็นเครื่องมือในการสร้างรายได้ให้กิจการอีกด้วย 2. ความสามารถในการทำกำไร เป็นตัวกำหนดกระแสเงินสดของกิจการ ไม่ว่าจะเป็นเงินปันผลหรือกระแสเงินสดอิสระ 3. อัตราคิดลด คือ อัตราที่ผู้ลงทุนใช้ในการคิดลดกระแสเงินสดในอนาคต ให้อยู่ในรูปของมูลค่าปัจจุบัน โดยอัตราคิดลดที่สูงจะทำให้มูลค่าแท้จริงของหุ้นลดลง
1345150.txt
ผลตอบแทนและความเสี่ยงของกองทุนรวม 1. ภาพรวมของผลตอบแทนและความเสี่ยงของกองทุนรวม เนื่องจากกองทุนรวมเป็นการระดมเงินจากผู้ลงทุนไปลงทุนในสินทรัพย์ตามนโยบายการลงทุน ดังนั้นผลตอบแทนและความเสี่ยงขึ้นอยู่กับสินทรัพย์ที่ไปลงทุน แต่ความเสี่ยงจากการลงทุนผ่านกองทุนรวมอาจต่ำกว่าการลงทุนตรงด้วยตนเอง เนื่องจากกองทุนมีผู้จัดการกองทุนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญช่วยบริหาร มีระบบในการเข้าถึงข้อมูล และความสามารถในการกระจายความเสี่ยงที่ดีเนื่องจากเงินมีลงทุนก้อนใหญ่ที่ได้จากการระดมทุนจากผู้ลงทุนหลายๆ คน
1345199.txt
ประเภทของธุรกิจและที่มาของเงินทุนในการทำธุรกิจ 5. ความเสี่ยงของตราสารทุน 5.1 ความเสี่ยงต่อผลการดำเนินงาน (กำไร) ของกิจการ เมื่อกิจการมีผลกำไรที่ลดลง หรือ ต่ำกว่าที่ผู้ลงทุนส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ ราคาของหุ้นก็มักปรับตัวลดลง ซึ่งความเสี่ยงที่จะกระทบต่อผลการดำเนินงานมีดังนี้ 1. ความเสี่ยงทางธุรกิจ (Business Risk) คือ ความเสี่ยงจากการดำเนินธุรกิจ เช่น การแข่งขันของอุตสาหกรรม, นโยบายการทำธุรกิจของบริษัท, ความเสี่ยงในการทำโครงการต่างๆ 2. ความเสี่ยงทางการเงิน (Financial Risk) คือ ความเสี่ยงจากโครงสร้างการเงินของบริษัท (โครงสร้างทางการเงินของบริษัท หมายถึงแหล่งที่มาของเงินทุนในการทำธุรกิจ ซึ่งโดยทั่วไปจะมาจาก 2 แหล่งคือ 1. เงินทุนเจ้าของและกำไรสะสม 2. การกู้ยืม) กล่าวคือ การที่บริษัทมีหนี้สินมากก็จะมีความเสี่ยงทางการเงินมาก 3. ความเสี่ยงจากปัจจัยมหภาค (Macro Factor) คือ ความเสี่ยงที่เกิดจากปัจจัยภายนอกของธุรกิจ เช่น ความมั่นคงทางการเมืองและนโยบายทางการเมือง, อัตราเงินเฟ้อ, อัตราดอกเบี้ย 5.2 ความเสี่ยงต่อระดับความต้องของการลงทุนในตราสารทุน เมื่อความต้องการลงทุนในตราสารทุนลดลง ราคาของหุ้นก็มักปรับตัวลดลง ซึ่งความเสี่ยงที่จะกระทบต่อความต้องการลงทุนในตราสารทุนมีดังนี้ 1. สภาพคล่องของหลักทรัพย์ ผู้ลงทุนชอบหลักทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง เนื่องจากสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนมือได้เร็ว 2. อัตราดอกเบี้ย การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยทำให้ผู้ลงทุนหันไปลงทุนในตราสารหนี้มากขึ้น 3. เงินเฟ้อ เงินเฟ้อที่สูงขึ้น ทำให้ผู้ลงทุนต้องการผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงขึ้น (ต้องการซื้อตราสารทุนในราคาที่ถูกลง) เพื่อชดเชยกับเงินเฟ้อ เพิ่มเติม * จะเห็นได้ว่าบางปัจจัย เช่น อัตราดอกเบี้ย และเงินเฟ้อ จะกระทบทั้งกำไรของกิจการและระดับความต้องการของการลงทุนในตราสารทุน
1345197.txt
ความรู้พื้นฐานของตราสารหนี้ 2. ความแตกต่างของตราสารทุนและตราสารหนี้ ตราสารทุน ลักษณะผลตอบแทน: เงินปันผล สถานะผู้ลงทุน: เจ้าของ ระดับความเสี่ยง: สูง ระยะเวลา (อายุ): ไม่มีกำหนด สภาพคล่อง: สูง สิทธิการเรียกร้อง: เมื่อผู้ออกตราสารล้มละลาย เงินที่ได้รับจากการขายสินทรัพย์จะนำมาชำระหนี้คืนให้ผู้ถือตราสารหนี้ก่อนผู้ถือตราสารทุน ตราสารหนี้ ลักษณะผลตอบแทน: ดอกเบี้ย สถานะผู้ลงทุน: เจ้าหนี้ ระดับความเสี่ยง: ต่ำ ระยะเวลา (อายุ): มีกำหนดอายุแน่นอน (ตราสารหนี้ทั่วไปจะกำหนดระยะเวลาไว้ชัดเจน ยกเว้นตราสารหนี้ประเภท Perpetual Bond ซึ่งเป็นตราสารหนี้ที่ไม่กำหนดระยะเวลา) สภาพคล่อง: ต่ำ สิทธิการเรียกร้อง: เมื่อผู้ออกตราสารล้มละลาย เงินที่ได้รับจากการขายสินทรัพย์จะนำมาชำระหนี้คืนให้ผู้ถือตราสารหนี้ก่อนผู้ถือตราสารทุน
1345170.txt
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 1. ระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 1.1 พัฒนาการของระบบการซื้อขาย * 30 เม.ย. 2518: ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเปิดซื้อขายครั้งแรก โดยใช้ระบบการซื้อขายแบบประมูลอย่างเปิดเผยด้วยวิธีการเคาะกระดานในห้องค้าหลักทรัพย์ * 31 พ.ค. 2534: ใช้ระบบ ASSET (Automatic System for the Stock Exchange of Thailand) * ส.ค. 2551: ใช้ระบบ ARMS (Advanced Resilience Matching System) * 3 ก.ย. 2555: ใช้ระบบ SET CONNECT 1.2 ระบบการซื้อขายหลักทรัพย์ SET Connect SET Connect เป็นระบบการซื้อขายที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมมือกับบริษัท Cinnober Finance Technology AB ในการพัฒนาระบบ ซึ่งระบบมีจุดเด่นดังนี้ 1. มีความน่าเชื่อถือระดับสากล มีการเชื่อมต่อที่เป็นมาตรฐานสากล (FIX Protocol) และสามารถรับส่งข้อมูลเชื่อมต่อกับตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ รวมถึงมีระบบสำรองในทุกๆ ด้าน ในกรณีที่ระบบหลักขัดข้อง 2. รองรับปริมาณการซื้อขายได้จำนวนมาก
1345181.txt
การประเมินมูลค่าหุ้นสามัญ 2. วิธีการประเมินมูลค่าหุ้นสามัญ แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบใหญ่ๆ คือ 1. Absolute Valuation ซึ่งเป็นการประเมินมูลค่าโดยวัดจากสินทรัพย์หรือความสามารถในการทำกำไรจากตัวบริษัทเอง 2. Relative Valuation เป็นการประเมินมูลค่าโดยใช้วิธีการเปรียบเทียบอัตราส่วนทางการเงินกับบริษัทอื่นที่มีลักษณะของธุรกิจคล้ายคลึงกัน หรืออาจเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม
1345149.txt
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 5. การหยุดการซื้อขายชั่วคราว (Circuit breaker) และเครื่องหมายต่างๆ บนกระดานหลักทรัพย์ 5.1 การหยุดการซื้อขายชั่วคราว (Circuit breaker) เนื่องจากการลดลงของ SET Index ที่รุนแรงอาจมีผลให้ผู้ลงทุนตื่นตระหนก และเทขายหุ้นอย่างขาดสติ ดังนั้นตลาดจึงทำการปิดชั่วคราวเพื่อให้ผู้ลงทุนตั้งสติ โดยการหยุดการซื้อขายชั่วคราว มีเกณฑ์ดังนี้ * การหยุดครั้งที่ 1 เมื่อ SET Index ลดลงถึง 10% โดยหยุดการซื้อขาย 30 นาที * การหยุดครั้งที่ 2 เมื่อ SET Index ลดลงถึง 20% (ลดลงอีก 10%) โดยหยุดการซื้อขาย1 ชั่วโมง ทั้งนี้หากเวลาซื้อขายในรอบเวลานั้น (รอบเวลาซื้อขายช่วงเช้า/รอบเวลาซื้อขายช่วงบ่าย) เหลือน้อยกว่า 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง ให้หยุดพักการซื้อขายแค่ระยะเวลาที่เหลือ และเปิดการซื้อขายปกติในรอบการซื้อขายถัดไป 5.2 เครื่องหมายต่างๆ และหลักเกณฑ์การขึ้นเครื่องหมายบนกระดานหลักทรัพย์ 1. เครื่องหมายต่างๆ บนกระดานหลักทรัพย์ คือ เครื่องหมายแจ้งผู้ลงทุนให้ทราบถึงสถานการณ์พิเศษที่อาจส่งผลกระทบต่อหลักทรัพย์ สรุปเครื่องหมาย XD (Excluding Dividend) ผู้ซื้อหลักทรัพย์จะไม่มีสิทธิได้เงินปันผล XR (Excluding Right) ผู้ซื้อหลักทรัพย์จะไม่มีสิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน XW (Excluding Warrants) ผู้ซื้อหลักทรัพย์จะไม่มีสิทธิได้รับ Warrant XT (Excluding TSR) ผู้ซื้อหลักทรัพย์จะไม่มีสิทธิได้รับ TSR XE (Excluding Exercise) ผู้ซื้อ Warrant จะไม่มีสิทธิในการซื้อสินทรัพย์อ้างอิง XM (Excluding Meeting) ผู้ซื้อหลักทรัพย์จะไม่มีสิทธิเข้าร่วมการประชุมผู้ถือหุ้น XN (Excluding Capital Return) ผู้ซื้อหลักทรัพย์จะไม่มีสิทธิรับเงินคืนจากการลดทุนจดทะเบียน XB (Excluding Other Benefit) ผู้ซื้อหลักทรัพย์จะไม่มีสิทธิจองซื้อหุ้นออกใหม่ XA (Excluding All) ผู้ซื้อหลักทรัพย์จะไม่มีสิทธิทุกสิทธิประโยชน์ NP (Notice Pending) บริษัทจดทะเบียนไม่ส่งงบการเงินหรือรายงานตามกำหนด NR (Notice Received) บริษัทที่ขึ้น NP ส่งงบการเงินหรือรายงานแล้ว NC (Non-Compliance) บริษัทจดทะเบียนเข้าข่ายถูกเพิกถอน H (Halt) หยุดการซื้อขายชั่วคราวไม่เกิน 1 รอบการซื้อขายของตลาด SP (Suspending) หยุดการซื้อขายชั่วคราวเกิน 1 รอบการซื้อขายของตลาด ST (Stabilization) บริษัทจดทะเบียนมีการซื้อหลักทรัพย์เพื่อส่งมอบหลักทรัพย์ที่จัดสรรเกิน สำคัญ ผู้ที่ลงทุนในวันที่ขึ้นเครื่องหมายจะไม่ได้รับสิทธินั้น เช่น ลงทุนในวันที่ขึ้นเครื่องหมาย XD จะไม่ได้รับเงินปันผลและ หากต้องการปันผลต้องลงทุนก่อนขึ้นเครื่องหมาย XD อย่างน้อย 1 วันทำการ 2. หลักเกณฑ์การขึ้นเครื่องหมาย H และ SP 1) H (Halt) เครื่องหมายหยุดการซื้อขายชั่วคราวไม่เกิน 1 รอบการซื้อขายของตลาด มีหลักเกณฑ์ในการขึ้นเครื่องหมายดังนี้ * บริษัทมีข้อมูลสำคัญที่ยังไม่รายงานตลาดหลักทรัพย ซึ่งข้อมูลดังกล่าวอาจมีผลกระทบกับผู้ถือหุ้นรวมทั้งการตัดสินใจลงทุน * หลักทรัพย์มีภาวการณ์ซื้อขายที่น่าสงสัยว่ามีผู้ลงทุนบางกลุ่มทราบข้อมูลสำคัญ * บริษัทร้องขอให้ตลาดหยุดการซื้อขายชั่วคราว เพื่อรอให้บริษัทเปิดเผยข้อมูลสำคัญ * เหตุอื่นๆ ที่อาจมีผลกระทบรุนแรงต่อหลักทรัพย์ 2) SP (Suspension) เครื่องหมายหยุดการซื้อขายชั่วคราวเกิน 1 รอบการซื้อขายของตลาด มีหลักเกณฑ์ในการขึ้นเครื่องหมายดังนี้ * เมื่อขึ้นเครื่องหมาย H แล้วแต่บริษัทไม่สามารถให้ข้อมูลกับตลาดฯ ได้ในทันที * บริษัทไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ * บริษัทไม่ส่งงบการเงินภายในเวลาที่ตลาดฯ กำหนด * หลักทรัพย์อยู่ระหว่างการพิจารณาเพิกถอนออกจากตลาดฯ * หลักทรัพย์อยู่ระหว่างการพิจารณาให้พ้นจากการเข้าข่ายถูกเพิกถอน * หลักทรัพย์ (เช่น Warrant) จะครบกำหนดสัญญา * มีเหตุการณ์ร้ายแรงที่อาจจะส่งร้ายแรงต่อการซื้อขายหลักทรัพย์
1345185.txt
ผลตอบแทนและความเสี่ยงของกองทุนรวม 4. การวัดผลการดำเนินงานของกองทุนรวม นอกจากการเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนและความเสี่ยงของกองทุนแล้ว เครื่องมือการวัดที่เรามักนำมาใช้ คือ อัตราผลตอบแทนที่ปรับด้วยความเสี่ยง (Risk-Adjusted Return) ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 4.1 อัตราผลตอบแทนที่ปรับด้วยความเสี่ยง (Risk-Adjusted Return) คือ อัตราส่วนที่คำนวณหาความคุ้มค่าของผลตอบแทนเทียบกับความเสี่ยง โดยอัตราส่วนที่นิยมใช้กับกองทุนรวมมีดังนี้ 1. Sharpe Ratio1 เป็นการวัดอัตราผลตอบแทนส่วนเกิน (excess return) เทียบกับความเสี่ยงรวมของกลุ่มหลักทรัพย์ที่ลงทุน (δp) 2. Tracking Error (TE) หรือ Active Risk คือ การวัดระดับความเบี่ยงเบนของอัตราผลตอบแทนกองทุน (Rp) จากเกณฑ์มาตรฐาน (Rb) โดย TE สามารถคำนวณได้โดยใช้ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนกองทุนกับเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งมีสูตรดังนี้ * TE ที่สูง แสดงถึงระดับความเบี่ยงเบนของอัตราผลตอบแทนกองทุนจากเกณฑ์มาตรฐานสูง ซึ่งเป็นผลมาจากการตัดสินในลงทุนของผู้จัดการกองทุนที่มีความต่างจากเกณฑ์มาตรฐานหรือดัชนีอย่างมาก ดังนั้นค่า TE สามารถแสดงถึงระดับของการบริหารแบบเชิงรุก (Active Management) ได้นั่นเอง * TE ที่ต่ำ แสดงถึงระดับความเบี่ยงเบนที่น้อย ในการเลือกลงทุนในกองทุนรวมที่มีการบริหารแบบเชิงรับ ผู้ลงทุนมักพยายามเลือกกองทุนที่มีค่า TE ต่ำที่สุด * TE ไม่สามารถบอกได้ว่าผลตอบแทนกองทุนสูงหรือต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน บอกได้เพียงระดับความเบี่ยงเบน 3. Information Ratio (IR) คือ เครื่องมือในการวัดความสามารถของผู้จัดการกองทุน โดยวัดความสามารถในการสร้างผลตอบแทนเหนือเกณฑ์มาตรฐาน เทียบกับระดับความเบี่ยงเบนของอัตราผลตอบแทนกองทุนจากเกณฑ์มาตรฐาน (TE) ซึ่งมีสูตรการคำนวณดังนี้ * IR สูง แสดงว่ากองทุนสร้างผลตอบแทนส่วนเกิน (ผลตอบแทนเหนือเกณฑ์มาตรฐาน) ได้คุ้มค่าเมื่อเทียบกับระดับความ active มากกว่า IR ต่ำ * IR สูง แสดงถึงความสม่ำเสมอในการสร้างผลตอบแทนเหนือเกณฑ์มาตรฐาน * IR เน้นที่ผลตอบแทนเหนือเกณฑ์มาตรฐาน ขณะที่ Sharpe Ratio เน้นที่ผลตอบแทนเหนืออัตราผลตอบแทนปราศจากความเสี่ยง 4.2 การจัดอันดับกองทุนรวม ผู้จัดอันดับของทุนรวมที่เป็นที่นิยมของไทย คือ Morningstar Thailand ซึ่งจัดอันโดยการให้ Morningstar Rating Score โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. การคำนวณ Score ใช้หลักการอัตราผลตอบแทนที่ปรับด้วยความเสี่ยง (Risk-Adjusted Return) โดยมีวิธีการคำนวณของตนเองที่เรียกว่า Morningstar Risk-Adjusted Return (MRAR) 2. การจัดอันดับ จะนำ Score ที่ได้รับมาเปรียบเทียบกันเฉพาะในกลุ่มที่มีการลงทุนคล้ายกัน (Peer Group) และกองทุนที่มี Score สูงสุดจะได้ Rating 5 ดาว โดยการแบ่งกลุ่ม (Rating Level) จะมีการกระจายตัวแบบระฆังคว่ำ (Bell Curve) 3. อัตราผลตอบแทนที่จัดอันดับ คือ อัตราผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปี, 5 ปี และ 10 ปี 4. ข้อจำกัด การจัดอันดับใช้ข้อมูลในอดีตซึ่งไม่สามารถรับประกันผลตอบแทนในอนาคตได้ และในการทำ Score ไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยเชิงคุณภาพ เช่น การเปลี่ยนแปลงผู้จัดการกองทุน ซึ่งอาจมีผลต่อผลตอบแทนของกองทุน 4.3 การเปรียบเทียบผลการดำเนินงาน 1. สิ่งที่นำมาเปรียบเทียบ สามารถเทียบได้ในหลายๆ ด้าน เช่น 1) อัตราผลตอบแทน เช่น ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี, 3 ปี, 5 ปี 2) ความเสี่ยง เช่น ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน, Credit Risk, ความเสี่ยงจากการกระจุกตัว 3) อัตราผลตอบแทนปรับด้วยความเสี่ยง เช่น Sharpe Ratio, Tracking Error, Information Ratio, Morningstar Rating 2. เปรียบเทียบกับอะไร 1) เทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน (Benchmark) * อัตราผลตอบแทนของเกณฑ์มาตรฐาน แสดงถึงอัตราผลตอบแทนที่กองทุนควรทำได้ * เกณฑ์มาตรฐานจะเป็นดัชนีของสินทรัพย์ที่กองทุนนำเงินไปลงทุน เช่น กองทุนรวมหุ้นไทย เกณฑ์มาตรฐานจะเป็น SET Index * กองทุนรวมที่บริหารเชิงรุก (Active Management) จะพยายามสร้างผลตอบแทนเหนือเกณฑ์มาตรฐาน * กองทุนรวมที่บริหารเชิงรับ (Passive Management) จะพยายามสร้างผลตอบแทนใกล้เคียงเกณฑ์มาตรฐานที่สุด 2) เทียบกับกองทุนประเภทเดียวกัน (Peer group) นอกจากผู้ลงทุนจะเปรียบเทียบด้วยตนเองแล้ว สมาคมบริษัทจัดการลงทุน (Association of investment management company: AIMC) ได้จัดประเภทของกองทุนรวมและรายงานข้อมูลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานของกองทุนรวมกับกองทุนประเภทเดียวกัน (Peer group fund performance) ในรูปของเปอร์เซ็นไทล์ (Percentiles) * การอ่านค่า Percentiles แบ่งเป็น 5 ระดับ ดังนี้ 5th Percentile อัตราผลตอบแทนของกองทุนที่ได้อันดับที่ 5 เปอร์เซ็นต์ไทล์ 25th Percentile อัตราผลตอบแทนของกองทุนที่ได้อันดับที่ 25 เปอร์เซ็นต์ไทล์ 50th Percentile อัตราผลตอบแทนของกองทุนที่ได้อันดับที่ 50 เปอร์เซ็นต์ไทล์ 75th Percentile อัตราผลตอบแทนของกองทุนที่ได้อันดับที่ 75 เปอร์เซ็นต์ไทล์ 95th Percentile อัตราผลตอบแทนของกองทุนที่ได้อันดับที่ 95 เปอร์เซ็นต์ไทล์ * สิ่งที่ AIMC นำมาเปรียบเทียบคือ อัตราผลตอบแทนและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)
1345202.txt
ตราสารที่เชื่อมโยงกับตราสารทุน 2. ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (Derivative Warrant: DW) 2.1 ความหมาย เงื่อนไข ชื่อย่อของ DW และสถานะของคู่สัญญา 1. ความหมาย DW เป็น Option (ออปชั่น) (Option ถือเป็นตราสารอนุพันธ์ (Derivative) ประเภทหนึ่ง ที่ให้สิทธิในการซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิง คำว่า สิทธิ ในที่นี้หมายถึงมีสิทธิในการเลือกว่าจะซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิงหรือไม่) ประเภทหนึ่ง ที่มีลักษณะเป็นสัญญาที่ให้สิทธิกับผู้ลงทุนในการซื้อ (Call) หรือขาย (Put) สินทรัพย์ที่อ้างอิง (Underlying Asset) ในอนาคตภายใต้ระยะเวลาที่กำหนดแต่ไม่เกิน 2 ปี โดยผู้ที่ออกเสนอขาย (Issuer) DW ให้กับผู้ลงทุน คือ สถาบันที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. เช่น ธนาคาร, บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 2. เงื่อนไขที่สำคัญของ DW ตัวอย่าง DW : ADVA01C1806A หลักทรัพย์อ้างอิง : หุ้นสามัญ ADVANC คือ หลักทรัพย์อ้างอิง คือ หุ้น ADVANC จำนวน DW ที่ขาย : 40,000,000 หน่วย คือ จำนวนที่ บล. เสนอขาย DW ให้ผู้ลงทุน ประเภทของ DW : Call คือ ให้สิทธิซื้อ รูปแบบการใช้สิทธิ : European คือ ใช้สิทธิได้ในวันหมดอายุของสัญญา การส่งมอบ : Cash Settlement คือ ชำระส่วนต่างของราคาด้วยเงินสด อัตราการใช้สิทธิ : 1 : 1 คือ DW 1 หน่วย มีสิทธิซื้อหุ้นสามัญได้ 1 หุ้น ราคาใช้สิทธิ : 200 บาท คือ เงินที่ต้องจ่ายเพื่อใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญ 1 หุ้น วันหมดอายุ : 5 ก.ค. 2018 คือ วันที่สัญญาหมดอายุ 3. ชื่อย่อของ DW ประกอบด้วย 12 ตัว 4. สถานะของคู่สัญญา 1) ผู้ซื้อหรือผู้ลงทุน DW มีสิทธิในการซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิง (คำว่า “สิทธิ” ในที่นี้หมายถึงมีสิทธิในการเลือกว่าจะซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิงหรือไม่) 2) ผู้ขายหรือผู้ออกตราสาร DW มีภาระผูกพันธ์ต้องทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับผู้ซื้อ กล่าวคือ หากผู้ซื้อใช้สิทธิซื้อสินทรัพย์อ้างอิง ผู้ขายต้องขายสินทรัพย์อ้างอิงให้ผู้ซื้อ 2.2 ประเภทของ DW สามารถแบ่งได้ 3 รูปแบบ คือ 1. แบ่งตามลักษณะของสิทธิ 1) สิทธิซื้อ (Call) คือ DW ที่ให้สิทธิซื้อสินทรัพย์อ้างอิงในอนาคต ดังนั้นหากราคาสินทรัพย์อ้างอิงปรับตัวขึ้นผู้ลงทุนใน Call จะกำไรมากขึ้น เช่น ผู้ลงทุนซื้อ DW มาที่ราคา 1 บาท โดย DW มีราคาใช้สิทธิซื้อหุ้นอ้างอิงที่ 15 บาท หากราคาหุ้นอ้างอิงปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 17 บาท เมื่อผู้ลงทุนใช้สิทธิซื้อหุ้นอ้างอิงที่ 15 บาท ผู้ลงทุนจะกำไร 1 บาท 2) สิทธิขาย (Put) คือ DW ที่ให้สิทธิขายสินทรัพย์อ้างอิงในอนาคต ดังนั้นหากราคาสินทรัพย์อ้างอิงปรับตัวลงผู้ลงทุนใน Put จะกำไรมากขึ้น เช่น ผู้ลงทุนซื้อ DW มาที่ราคา 1 บาท โดย DW มีราคาใช้สิทธิขายหุ้นอ้างอิงที่ 15 บาท หากราคาหุ้นอ้างอิงปรับตัวลดลงเป็น 11 บาท เมื่อผู้ลงทุนใช้สิทธิขายหุ้นอ้างอิงที่ 15 บาท ผู้ลงทุนจะกำไร 3 บาท 2. แบ่งตามกำหนดการใช้สิทธิ 1) แบบยุโรป (European Option) ใช้สิทธิได้ในวันหมดอายุของสัญญาเท่านั้น (DW ของไทยจะเป็นแบบ European Option) 2) แบบอเมริกัน (American Option) ใช้สิทธิได้ในวันใดก็ได้รวมถึงวันหมดอายุของสัญญา 3) แบบอเมริกันเทียม (Pseudo-American Option) ใช้สิทธิตามช่วงที่กำหนด เช่น ทุกไตรมาส, ทุกครึ่งปี, ทุกปี 3. แบ่งตามประเภทของสินทรัพย์อ้างอิง ตามประกาศของ ก.ล.ต. (ตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนที่ ทจ. 15/2553 เรื่อง การออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์) 1) หุ้นหรือกลุ่มหุ้นใน SET 50 2) หุ้นหรือกลุ่มหุ้นใน SET 100 (ในลำดับที่ 51 ถึง 100) 3) ดัชนีหลักทรัพย์ เช่น SET, SET50, SET100 4) หน่วยลงทุน ETF 5) หลักทรัพย์หรือกลุ่มหลักทรัพย์อื่น ตามที่ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด 2.3 สถานะของการใช้สิทธิ DW แบ่งออกเป็น 3 สถานะ ดังนี้ In the money: ควรใช้สิทธิ Call Option: ราคาสินทรัพย์ > ราคาใช้สิทธิ Put Option : ราคาสินทรัพย์ < ราคาใช้สิทธิ Out of the money: ไม่ควรใช้สิทธิ Call Option: ราคาสินทรัพย์ < ราคาใช้สิทธิ Put Option : ราคาสินทรัพย์ > ราคาใช้สิทธิ At the money: ใช้หรือไม่ก็ได้ Call Option: ราคาสินทรัพย์ = ราคาใช้สิทธิ Put Option : ราคาสินทรัพย์ = ราคาใช้สิทธิ 1. In the money คือ สถานะที่ควรใช้สิทธิของ DW 1) Call Option เป็น In the money เมื่อ ราคาสินทรัพย์อ้างอิง > ราคาใช้สิทธิซื้อ ซึ่งแสดงว่า ผู้ถือ Option มีสิทธิซื้อสินทรัพย์อ้างอิงได้ในราคาถูกกว่าราคาปัจจุบันของสินทรัพย์อ้างอิง 2) Put Option เป็น In the money เมื่อ ราคาสินทรัพย์อ้างอิง < ราคาใช้สิทธิขาย ซึ่งแสดงว่า ผู้ถือ Option มีสิทธิขายสินทรัพย์อ้างอิงได้ในราคาแพงกว่าราคาปัจจุบันของสินทรัพย์อ้างอิง 2. Out of the money คือ สถานะที่ไม่ควรใช้สิทธิของ DW 1) Call Option เป็น Out the money เมื่อ ราคาสินทรัพย์อ้างอิง < ราคาใช้สิทธิซื้อ ซึ่งแสดงว่า ผู้ถือ Option มีสิทธิซื้อสินทรัพย์อ้างอิงได้ในราคาแพงกว่าราคาปัจจุบันของสินทรัพย์อ้างอิง ซึ่งผู้ลงทุนไม่ควรใช้สิทธิเพื่อซื้อในราคาแพง 2) Put Option เป็น Out the money เมื่อ ราคาสินทรัพย์อ้างอิง > ราคาใช้สิทธิขาย ซึ่งแสดงว่า ผู้ถือ Option มีสิทธิขายสินทรัพย์อ้างอิงได้ในราคาถูกกว่าราคาปัจจุบันของสินทรัพย์อ้างอิง ซึ่งผู้ลงทุนไม่ควรใช้สิทธิเพื่อขายในราคาถูก 3. At the money คือ สถานะที่ใช้หรือไม่ใช้สิทธิของ DW ก็ได้ เนื่องจาก ราคาของสินทรัพย์อ้างอิงเท่ากับราคาใช้สิทธิ (แต่ในเชิงปฏิบัติมักไม่ใช้สิทธิเพื่อหลีกเลี่ยงขั้นตอนการใช้สิทธิ) 2.4 การส่งมอบเมื่อมีการใช้สิทธิ (Settlement) ผู้ออก DW สามารถเลือกได้ 2 วิธี คือ 1. ส่งมอบด้วยสินทรัพย์อ้างอิง (Physical Delivery) 1) กรณี Call DW เมื่อผู้ถือ DW ใช้สิทธิซื้อสินทรัพย์อ้างอิง ผู้ออก DW จะส่งมอบสินทรัพย์อ้างอิงให้กับผู้ใช้สิทธิ 2) กรณี Put DW เมื่อผู้ถือ DW ใช้สิทธิขายสินทรัพย์อ้างอิง ผู้ออก DW จะรับซื้อโดยชำระเป็นเงินสดให้ตามราคาใช้สิทธิ 2. ส่งมอบด้วยเงินสด (Cash Settlement) (DW ในไทยใช้วิธีนี้) 1) กรณี Call DW เมื่อผู้ถือ DW ใช้สิทธิซื้อสินทรัพย์อ้างอิง ผู้ออก DW จะส่งมอบเงินสดจากส่วนต่างราคาที่คำนวณจาก (ราคาสินทรัพย์อ้างอิง – ราคาใช้สิทธิ) x อัตราการใช้สิทธิ 2) กรณี Put DW เมื่อผู้ถือ DW ใช้สิทธิขายสินทรัพย์อ้างอิงผู้ออก DW จะส่งมอบเงินสดจากส่วนต่างราคาที่คำนวณจาก (ราคาใช้สิทธิ - ราคาสินทรัพย์อ้างอิง) x อัตราการใช้สิทธิ 2.5 การฝากทรัพย์สินเพื่อเป็นหลักประกันของผู้ออก DW เนื่องจากมีความเสี่ยงที่ผู้ออก DW จะไม่ส่งมอบเมื่อมีการใช้สิทธิตามที่ได้สัญญาไว้ (Credit Risk) ดังนั้นผู้ออก DW อาจใช้วิธีการฝากทรัพย์สินไว้กับผู้ดูแลทรัพย์สิน (Trustee) เพื่อเป็นหลักประกันว่าตนจะปฏิบัติตามสัญญาและสร้างความมั่นใจให้กับผู้ลงทุน โดยการฝากทรัพย์สินเป็นหลักประกันมี 3 ประเภท 1. ประกันเต็มจำนวน เป็นการฝากทรัพย์สินในมูลค่าเทียบเท่าการใช้สิทธิ DW ทั้งหมด ซึ่งถือเป็นวิธีที่ผู้ลงทุนมีความเสี่ยง Credit Risk ต่ำที่สุด 2. ประกันบางส่วน เป็นการฝากทรัพย์สินเพียงบางส่วน 3. ไม่ประกัน ไม่มีการฝากทรัพย์สิน ซึ่งเป็นวิธีที่ Credit Risk สูงสุด ดังนั้น ก.ล.ต. จึงกำหนดว่าผู้ออก DW ที่ไม่มีประกันนั้น ต้องมีอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ในสี่อันดับแรก ซึ่งคือ อันดับความน่าเชื่อถือ (ความน่าเชื่อถือของบริษัท ถูกประเมินจากบริษัท Credit Rating Agency ซึ่ง AAA คือ อันดับความน่าเชื่อถือสูงสุด) AAA, AA, A, BBB (DW ของไทยเป็นแบบไม่มีประกัน) 2.6 ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อ DW แต่ละปัจจัยอาจส่งผลกระทบต่อ DW ที่ให้สิทธิ Call และ Put มีดังนี้ ปัจจัยที่มีผลต่อ DW แบบ Call และ Put หากปัจจัยเหล่านี้สูง 1. ราคาใช้สิทธิ ผลกระทบต่อ Call ผลลบต่อราคา DW ผู้ลงทุนอยากได้สิทธิซื้อที่ราคาต่ำๆ ผลกระทบต่อ Put ผลบวกต่อราคา DW ผู้ลงทุนอยากได้สิทธิขายที่ราคาสูงๆ 2. ราคาสินทรัพย์อ้างอิง ผลกระทบต่อ Call ผลบวกต่อราคา DW เนื่องจากราคาใช้สิทธิซื้อคงที่ เมื่อราคาสินทรัพย์อ้างอิงสูงขึ้น DW จะยิ่งกำไรมากขึ้น ผลกระทบต่อ Put ผลลบต่อราคา DW เนื่องจากราคาใช้สิทธิขายคงที่ เมื่อราคาสินทรัพย์อ้างอิงสูงขึ้น DW จะยิ่งขาดทุน 3. การจ่ายเงินปันผลของสินทรัพย์อ้างอิง ผลกระทบต่อ Call ผลลบต่อราคา DW เนื่องจากเงินปันผลทำให้ราคาสินทรัพย์อ้างอิงลดลง ผลกระทบต่อ Put ผลบวกต่อราคา DW เนื่องจากเงินปันผลทำให้ราคาสินทรัพย์อ้างอิงลดลง 4. อายุคงเหลือของ Warrant ผลกระทบต่อ CallและPut ผลบวกต่อราคา DW อายุที่ยาว ทำให้มีระยะเวลาการใช้สิทธิที่ยาว ส่งผลให้มีโอกาสได้ใช้สิทธิเพิ่มขึ้น 5. ความผันผวนคาดการณ์ของราคาสินทรัพย์อ้างอิง (Implied Volatility) ผลกระทบต่อ CallและPut ผลบวกต่อราคา DW ความผันผวนที่สูง ทำให้มีโอกาสที่ราคาสินทรัพย์อ้างอิงปรับตัวขึ้นหรือลงแรง เมื่อราคาปรับขึ้นแรงจะเป็นโอกาสใช้สิทธิซื้อ (Call) และเมื่อลงแรงจะเป็นโอกาสใช้สิทธิขาย (Put) 6. อัตราดอกเบี้ย (มีผลเล็กน้อยกับ Warrant) ผลกระทบต่อ Call ผลบวกต่อราคา DW ผู้ลงทุนใช้เงินจำนวนน้อยในการซื้อ Call (ซื้อสิทธิที่จะซื้อ) จึงสามารถนำเงินส่วนที่เหลือไปฝากหรือลงทุนตราสารหนี้เพื่อรับดอกเบี้ย ผลกระทบต่อ Put ผลลบต่อราคา DW การซื้อ Put เปรียบเสมือนการซื้อสิทธิขายล่วงหน้า แต่ผู้ลงทุนยังไม่ได้รับเงิน ต่างจากการขายสินทรัพย์อ้างอิงทันที ผู้ลงทุนจะได้รับเงินและสามารถนำไปฝากหรือลงทุนในตราสารหนี้เพื่อรับดอกเบี้ย 2.7 การประเมินมูลค่า DW องค์ประกอบของการประเมินมูลค่า DW แบ่งออกเป็นส่วน คือ * มูลค่าแท้จริง (Intrinsic Value) ซึ่งคือ กำไรหรือขาดทุน หากใช้สิทธิของ Warrant ณ ตอนนี้ * มูลค่าตามเวลา (Time Value) ซึ่งคือ มูลค่าจากอายุคงเหลือของ Warrant โดย มูลค่าของ DW = มูลค่าแท้จริง + มูลค่าของเวลา ซึ่งมีรายละเอียดการคำนวณดังต่อไปนี้ มูลค่าของ DW = มูลค่าแท้จริง (Intrinsic Value) + มูลค่าของเวลา (Time Value) มูลค่าของ DW = กำไรหรือขาดทุนหากใช้สิทธิ + ราคา DW – มูลค่าแท้จริง มูลค่าของ Call DW = ราคาสินทรัพย์อ้างอิง - ราคาใช้สิทธิ + ราคา DW – (ราคาสินทรัพย์อ้างอิง – ราคาใช้สิทธิ) มูลค่าของ Put DW = ราคาใช้สิทธิ – ราคาสินทรัพย์อ้างอิง + ราคา DW – (ราคาใช้สิทธิ - ราคาสินทรัพย์อ้างอิง) 2.8 อัตราส่วนที่ใช้ในการวิเคราะห์ DW 1. ส่วนเกินราคา (Premium) คือ % ของมูลค่าตามเวลาต่อราคาสินทรัพย์อ้างอิง ซึ่งเท่ากับ % ของราคาตลาดของ DW ในส่วนที่มากกว่ามูลค่าแท้จริงนั่นเอง 2. อัตราทด (Gearing Ratio) คือ ระดับความผันผวนของ DW เมื่อเทียบกับหุ้นที่อ้างอิง โดยที่ Gearing Ratio สูง หมายถึงระดับความผันผวนที่สูง 3. เดลต้า (Delta) คือ ระดับของความอ่อนไหว (หรือความสัมพันธ์) ระหว่างการเปลี่ยนแปลงของราคา DW กับระดับการเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์อ้างอิง Delta = ระดับการเปลี่ยนแปลงของราคา DW / ระดับการเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์อ้างอิง ทั้งนี้ค่า Delta จะอยู่ระหว่าง 0 – 1 โดยที่ * หาก Delta เข้าใกล้ 1 หมายถึง ราคาของ DW เปลี่ยนแปลงใกล้เคียงกับราคาของสินทรัพย์อ้างอิงอย่างมาก เช่น Delta เท่ากับ 0.90 หมายถึง หากราคาสินทรัพย์อ้างอิงเปลี่ยนแปลง 1 บาท ราคา DW จะเปลี่ยนแปลง 0.90 บาท * หาก Delta เข้าใกล้ 0 หมายถึง ราคาของ DW มีระดับความอ่อนไหว (ความสัมพันธ์) กับการเปลี่ยนแปลงราคาของสินทรัพย์อ้างอิงน้อยอย่างมาก เช่น Delta เท่ากับ 0.10 หมายถึง หากราคาสินทรัพย์อ้างอิงเปลี่ยนแปลง 1 บาท ราคา DW จะเปลี่ยนแปลงเพียง 0.10 บาท จะเห็นได้ว่าค่าของ Delta จะบอกเราว่าหากราคาสินทรัพย์อ้างอิงเปลี่ยนแปลง 1 บาท ราคาของ Warrant จะเปลี่ยนแปลงกี่บาท 4. อัตราทดแท้จริง (Effective Gearing) มีความคล้ายคลึงกับ Delta แต่แทนที่จะบอกการเปลี่ยนของราคาในหน่วยบาท จะบอกการเปลี่ยนแปลงของราคาในหน่วย % กล่าวคือ หากอัตราทดแท้จริงเท่ากับ 5 หมายความว่า หากราคาสินทรัพย์อ้างอิงเปลี่ยนแปลง 1% ราคาของ DW จะเปลี่ยนแปลง 5% ในทิศทางเดียวกัน โดย Effective Gearing สามารถคำนวณได้ 2 วิธี 1. อัตราทดแท้จริง = % การเปลี่ยนแปลงของราคา DW / % การเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์อ้างอิง 2. อัตราทดแท้จริง = อัตราทด x Delta 5. ความอ่อนไหวต่อเวลาคงเหลือ (Time Decay) เนื่องจากมูลค่าของ DW ส่วนหนึ่งมาจากมูลค่าของเวลา ดังนั้นเมื่อเวลาค่อยๆ หมดลง ราคาของ DW จึงค่อยๆ ลดลงไปด้วย และค่าความอ่อนไหวต่อเวลาคงเหลือ คือ ค่าที่บอกว่าเมื่อเวลาเปลี่ยนไป 1 วัน ราคาของ DW จะลดลงเท่าไร โดยที่ Time Decay นี้อาจมีหน่วยเป็นตัวเงินหรือ % เช่น * Time Decay เท่ากับ 0.002 บาท แปลว่า เมื่อเวลาผ่านไป 1 วัน ราคาของ DW จะลดลง 0.002 บาท * Time Decay เท่ากับ 0.03% แปลว่า เมื่อเวลาผ่านไป 1 วัน ราคาของ DW จะลดลง 0.03% 6. ค่าความผันผวนคาดการณ์ (Implied Volatility) คือ ค่าความผันผวนของสินทรัพย์อ้างอิงที่ผู้ลงทุนคาดการณ์ (ไม่ใช่ค่าความผันผวนในอดีต แต่เป็นค่าความผันผวนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต) โดย Implied Volatility ที่สูงจะส่งผลบวกต่อราคา DW เนื่องจากความผันผวนที่สูง ทำให้มีโอกาสที่ราคาสินทรัพย์อ้างอิงปรับตัวขึ้นหรือลงแรง เมื่อราคาปรับขึ้นแรงจะเป็นโอกาสใช้สิทธิซื้อ (Call) และเมื่อลงแรงจะเป็นโอกาสใช้สิทธิขาย (Put) 7. จุดคุ้มทุน Break-even Point หมายถึง ราคาของสินทรัพย์อ้างอิงต้องขึ้นเป็นกี่บาท ที่ทำให้การซื้อ DW แล้วใช้สิทธิซื้อสินทรัพย์อ้างอิงเท่าทุน เช่น หากปัจจุบัน DW มีราคาอยู่ที่ 2 บาท และมีราคาใช้สิทธิซื้อสินทรัพย์อ้างอิงที่ 5 บาท จุดคุ้มทุน Break-even Point (ราคาสินทรัพย์อ้างอิง) จะเท่ากับ 7 บาท 8. All in Premium สามารถสื่อความหมายได้ 2 มุมมอง คือ 1) หมายถึง ราคาสินทรัพย์อ้างอิงต้องขึ้นกี่ % ที่จะทำให้ผู้ซื้อ DW แล้วใช้สิทธิซื้อสินทรัพย์อ้างอิงเท่าทุน 2) หมายถึง การซื้อ DW แล้วใช้สิทธิซื้อสินทรัพย์อ้างอิงนั้นแพงกว่าการซื้อหุ้นโดยตรงกี่ % ดังนั้นค่า All in Premium อยู่ที่ 10% หมายถึง สินทรัพย์อ้างอิงต้องขึ้นอีก 10% ถึงจะทำให้ผู้ซื้อ DW แล้วใช้สิทธิซื้อสินทรัพย์อ้างอิงเท่าทุน 9. Doubling factor หมายถึง ราคาสินทรัพย์อ้างอิงต้องขึ้นกี่ % จึงจะทำให้ราคา DW เพิ่มขึ้น 100% เมื่อใช้สิทธิซื้อสินทรัพย์อ้างอิง เช่น Doubling factor ที่ 40% หมายถึง สินทรัพย์อ้างอิงต้องขึ้นอีก 40% ถึงจะทำให้ราคา Warrant เพิ่มขึ้น 100% 2.9 การปรับราคาใช้สิทธิและอัตราใช้สิทธิของ DW เมื่อมี Corporate Action DW จะมีการปรับราคาใช้สิทธิและอัตราใช้สิทธิเมื่อมี Corporate Action เช่น การออกหุ้นเพิ่มทุน, การจ่ายเงินปันผล, การปันผลเป็นหุ้น, การแตกหุ้น (Stock Split), การรวมหุ้น (Reverse Stock Split) โดยการปรับราคาใช้สิทธิและอัตราใช้สิทธิจะไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อราคา DW 2.10 ผลตอบแทนและความเสี่ยงของ DW ผลตอบแทนของ DW มีวิธีการคำนวณใน 2 กรณี ดังนี้ 1. กรณีขายก่อนครบอายุ (ไม่ใช้สิทธิ) ในกรณีที่ผู้ลงทุนซื้อแล้วขาย DW โดยไม่มีการใช้สิทธิสามารถคำนวณกำไรขาดทุน (บาท) ได้ดังนี้ กำไรขาดทุน = [(ราคาขาย - ราคาซื้อ) x จำนวนหน่วย] - ค่าคอมมิชชั่นและ VAT 2. กรณีถือจนครบอายุ (ใช้สิทธิ) ในกรณีที่ผู้ลงทุนซื้อ DW แล้วใช้สิทธิ การคำนวณผลตอบแทน (บาท) จะแบ่งเป็น 2 ขั้นตอนดังนี้ 1) หาการส่งมอบด้วยเงินสด (Cash Settlement) เป็นขั้นตอนที่คำนวณว่า DW 1 หน่วย จะได้กำไรจากการใช้สิทธิซื้อหรือขายเท่าไร (กรณีที่ไม่คุ้มที่จะใช้สิทธิ ซึ่ง DW มีฐานะเป็น Out of the money นั้นจะไม่มีการส่งมอบ หรืออีกนัยถึงหนึ่งคือ Cash Settlement = 0) ประเภท DWและ สูตรการคำนวณ Cash Settlement Call DW = (ราคาสินทรัพย์อ้างอิง - ราคาใช้สิทธิ) x อัตราการใช้สิทธิ Put DW = (ราคาใช้สิทธิ - ราคาสินทรัพย์อ้างอิง) x อัตราการใช้สิทธิ * อัตราการใช้สิทธิในที่นี้ต้องปรับจากอัตราที่เป็น DW: สินทรัพย์อ้างอิง ให้อยู่ในรูปที่พร้อมคำนวณ ซึ่งเท่ากับ สินทรัพย์อ้างอิง / DW เงินที่ได้จาก Cash Settlement จะถือเป็นรายได้พึงประเมินและต้องยื่นภาษี ดังนั้นผู้ลงทุนที่ไม่ต้องการเสียภาษี อาจเลือกที่จะขาย DW ก่อนหมดอายุ (กำไรจากการซื้อขาย (Capital gain) DW ได้รับการยกเว้นภาษี เช่นเดียวกับหุ้นสามัญ อย่างไรก็ตามเงินที่ได้จาก Cash Settlement ต้องชำระภาษี) 2) หากำไรขาดทุน (บาท) เนื่องจาก Cash Settlement เป็นเพียงการหากำไรเมื่อมีการใช้สิทธิ ซึ่งยังไม่ได้หักต้นทุนในการซื้อ DW และไม่ได้คำนึงถึงจำนวนหน่วยที่ถือครอง DW ดังนั้นในการคำนวณหากำไรขาดทุนจึงมีสูตรดังนี้ กำไรขาดทุน = [(Cash Settlement - ราคาซื้อ DW) x จำนวน DW] – ค่าคอมมิชชั่น VAT ความเสี่ยงของ DW 1. ความเสี่ยงด้านราคา (Price Risk) คือ ความผันผวนของราคา DW ซึ่งเกิดจากปัจจัยต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อ DW 2. ความเสี่ยงจากอัตราทด DW ที่มีอัตราทดที่สูง จะมีความผันผวนของราคาสูง 3. ความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระของผู้ออก DW (Credit Risk) เป็นความเสี่ยงที่ผู้ออก DW จะไม่ส่งมอบเมื่อผู้ถือ DW ใช้สิทธิ 4. ความเสี่ยงจากอายุที่จำกัดของ DW ผู้ถือ DW ก็ไม่สามารถใช้สิทธิใดๆ ได้อีก เมื่ออายุของ DW หมดลง ส่งผลให้ DW ไม่มีค่าอีกต่อไป (ราคา DW เป็น 0) ดังนั้นเมื่อเวลาค่อยผ่านได้ราคาของ DW ก็จะค่อยๆ ลดลง (Time Decay) 5. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk) คือ ความเสี่ยงที่เกิดจากปริมาณการซื้อขายที่ต่ำของ DW ส่งผลให้ผู้ลงทุนขาดความคล่องตัวในการซื้อหรือขาย DW หรือ การซื้อขายแต่ละครั้งมีผลให้ราคา DW เปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จึงกำหนดให้ DW ในทุกตัวต้องมีผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker) เข้ามาช่วยเพิ่มปริมาณการซื้อขาย 2.11 ประโยชน์ของ DW ประโยชน์ต่อผู้ลงทุน 1. เป็นเครื่องมือที่สามารถทำกำไรได้ทั้งจากการที่ราคาสินทรัพย์อ้างอิงขึ้น (Call DW) และลง (Put DW) 2. ใช้เงินลงทุนน้อย เนื่องจากราคา DW ต่ำกว่าสินทรัพย์อ้างอิง 3. มีอัตราทด ทำให้มีการขึ้นลงของอัตราผลตอบแทนมากกว่า ผู้ลงทุนจะกำไรมากกว่าการลงทุนสินทรัพย์อ้างอิงหากมองทิศทางของราคาถูกต้อง 4. จำกัดผลขาดทุนได้ โดยขาดทุนไม่เกินเงินที่ลงทุน (ตราสารอนุพันธ์บางประเภท เช่น Future และ Forward ไม่สามารถจำกัดผลขาดทุนได้) 5. สามารถใช้ป้องกันความเสี่ยง เช่น การที่ผู้ลงทุนซื้อกองทุน LTF (กองทุน LTF เป็นกองทุนลดหย่อยภาษีประเภทหนึ่ง ที่ลงทุนในหุ้น และมีเงื่อนไขว่าต้องถือครองอย่างน้อย 7 ปีปฏิทิน) และยังไม่สามารถขายได้ แต่กังวลว่าหุ้นจะลง ผู้ลงทุนสามารถป้องกันความเสี่ยงได้โดยการซื้อ PUT DW ประโยชน์ต่อผู้ออก และ บล. 1. เป็นช่องทางเพิ่มรายได้ให้ผู้ออก DW จากการขายสิทธิที่จะซื้อหรือจะขาย ให้กับผู้ลงทุน 2. การออก DW ไม่ต้องวางหลักทรัพย์ค้ำประกัน (Option ประเภทอื่นผู้ออกต้องวางหลักทรัพย์ค้ำประกัน เพื่อป้องการความเสี่ยงด้าน Credit Risk) 3. เป็นรายได้ให้บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมื่อมีการซื้อขาย DW เนื่องจากผู้ลงทุนต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขาย
1345176.txt
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 9. ข้อมูลที่บริษัทจดทะเบียนต้องรายงานกับตลาดหลักทรัพย์ฯ 9.1 ข้อมูลเกี่ยวกับฐานะการเงินและผลการดำเนินงาน (Periodic Report) 1. ประเภทรายงานและกำหนดส่ง งบรายไตรมาส ฉบับสอบทาน: ภายใน 45 วัน จากวันสิ้นสุดไตรมาส งบประจำงวด 1 ปี ฉบับสอบทาน: ภายใน 60 วัน จากวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี (บริษัทสามารถส่งงบปีแทนงบไตรมาส 4 ได้) งบประจำงวด 1 ปี ฉบับตรวจสอบ: ภายใน 3 เดือน จากวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี (ไตรมาส 4) แบบแสดงรายงานข้อมูลประจำปี (แบบ 56-1): ภายใน 3 เดือน จากวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี (ไตรมาส 4) แบบรายงานประจำปีที่ส่งผู้ถือหุ้น (Annual Report หรือ 56-2): ภายใน 120 วัน จากวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี (ไตรมาส 4) * ฉบับตรวจสอบจะตรวจละเอียดกว่าการสอบทาน วันสิ้นสุดของรอบระยะเวลาบัญชีไม่จำเป็นต้องเป็นสิ้น ธ.ค. บางบริษัทอาจใช้สิ้น มี.ค., มิ.ย. หรือ ก.ย. ได้ 2. เอกสารอื่นๆ ที่จัดส่งพร้อมงบการเงิน 1) งบการเงินฉบับเต็ม 2) รายงานสรุปผลการดำเนินงาน (F45) 3) คำชี้แจงงบการเงิน กรณีบริษัทมีกำไรมากกว่าหรือน้อยกว่างวดเดียวกันของปีก่อนหน้าเกิน 20% 4) คำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ (Management discussion and analysis : MD&A) 9.2 ข้อมูลเหตุการณ์สำคัญ (Non-periodic Report) แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ 1. ข้อมูลที่ต้องเปิดเผยทันที คือ ข้อมูลที่มีผลต่ออย่างมีนัยสำคัญ ต่อราคาหลักทรัพย์, ต่อการตัดสินใจลงทุน หรือต่อสิทธิประโยชน์ผู้ถือหุ้น เช่น 1) บริษัทประสบภัยร้ายแรง เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม 2) บริษัทหยุดดำเนินงานทั้งหมด หรือบางส่วน เช่น การถูกยกเลิกสัมปทาน 3) บริษัทเปลี่ยนลักษณะธุรกิจ เช่น เปลี่ยนจากธุรกิจก่อสร้างเป็นธุรกิจจำหน่ายเครื่องสำอาง 4) บริษัททำสัญญาให้บุคคลอื่นมีอำนาจในการบริหารกิจการทั้งหมดหรือบางส่วน 5) บริษัทครอบงำหรือถูกครอบงำกิจการ 6) กรณีอื่นๆ ที่กระทบต่อผู้ที่หุ้นที่ ก.ล.ต. เห็นสมควร เช่น การเพิ่ม/ลดทุนจดทะเบียน การจ่ายเงินปันผล, การร่วม/ยกเลิกการร่วมทุน, การซื้อหุ้นคืน 2. ข้อมูลที่ต้องจัดส่งใน 3 วัน 1) การเปลี่ยนแปลงกรรมการบริษัท 2) การแก้ไขหนังสือข้อบังคับหรือหนังสือบริคณห์สนธิบริษัท 3) การย้ายสำนักงานใหญ่ 4) การเปลี่ยนแปลงผู้ตรวจสอบบัญชี 5) การเปลี่ยนแปลงนายทะเบียนหลักทรัพย์ หรือการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ของนายทะเบียน 3. ข้อมูลที่ต้องจัดส่งใน 14 วัน 1) รายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ 10 อันดับแรก 2) รายงานการประชุมผู้ถือหุ้น 3) รายงานการกระจายการถือหุ้น ตามที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนด
1345189.txt
การประเมินมูลค่าและอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ 2. ราคาของตราสารหนี้ เมื่อมีการชื้อขายตราสารหนี้นั้น ราคาที่แสดงในกระดานซื้อขายตราสารหนี้ และราคาที่ใช้ชำระในการซื้อขายนั้นจะเป็นคนละราคากัน ซึ่งราคาของตราสารหนี้มี 2 ประเภทดังนี้ 2.1 Gross Price หรือ Dirty Price เนื่องจากตราสารหนี้นั้นไม่ได้จ่ายดอกเบี้ย (Coupon) ให้กับผู้ลงทุนทุกวัน แต่จะจ่ายเป็น รายเดือน, รายไตรมาส, ทุกครึ่งปี หรือ รายปี และแม้ว่าผู้ซื้อจะพึ่งซื้อตราสารหนี้มาก่อนวันจ่ายดอกเบี้ยงวดถัดไปเพียง 1 วันก็ตาม ผู้ซื้อจะได้รับดอกเบี้ยเต็มจำนวน ซึ่งจะเห็นได้ว่าไม่ค่อยยุติธรรมกับผู้ขาย เพราะผู้ขายควรได้ดอกเบี้ยบางส่วนตามระยะเวลาที่ผู้ขายถือครองตราสาร โดยดอกเบี้ยส่วนที่ผู้ขายควรจะได้นี้เรียกว่า ดอกเบี้ยค้างรับ (Accrued Interest) ดังนั้นเพื่อให้ยุติธรรมกับผู้ซื้อ การจ่ายชำระเงินเพื่อซื้อขายตราสารหนี้จะชำระเงินกันในราคา Gross Price ซึ่งเป็นราคาตราสารหนี้ที่รวมดอกเบี้ยค้างรับนั่นเอง อย่างไรก็ตามข้อเสียของ Gross Price คือ ราคาของตราสารหนี้จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกวันจากผลของดอกเบี้ยค้างรับ ส่งผลต่อความยากในการวิเคราะห์ของผู้ลงทุนว่า ราคาของตราสารหนี้ที่เปลี่ยนแปลงนี้ มาจากผลของดอกเบี้ยค้างรับ ความมั่นคงของผู้ออกตราสาร หรือปัจจัยเศรษฐกิจอื่นๆ กันแน่ 2.2 Net Price หรือ Clean Price เข้ามาช่วยจัดการข้อเสียของ Dirty Price โดย Clean Price จะเป็นราคาของตราสารหนี้ที่ไม่รวมดอกเบี้ยค้างรับ และเป็นราคาที่แสดงในกระดานซื้อขายตราสารหนี้
1345143.txt
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกองทุนรวม 4. ภาษีของการลงทุนในกองทุน ผู้ลงทุนแต่ละประเภทจะมีการเสียภาษีที่ต่างกันดังนี้ เงินปันผล บุคคลธรรมดา หัก ณ ที่จ่าย 10% หรือ นำเงินปันผลไปรวมเป็นรายได้ นิติบุคคลทั่วไป ได้รับการยกเว้นกึ่งหนึ่งหากลงทุนก่อนปันผล 3 เดือน และยังคงถือครองหลังปันผลอีก 3 เดือน (หน้า 3 หลัง 3 จากวัน XD) นิติบุคคลที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ได้รับการยกเว้นทั้งหมดหากลงทุนก่อนปันผล 3 เดือนและยังคงถือครองหลังปันผลอีก 3 เดือน(หน้า 3 หลัง 3 จากวัน XD) ข้อยกเว้นอื่นๆ นิติบุคคลที่ลงทุนในกอง REIT ต้องเสียภาษีจากปันผลในอัตราปกติของภาษีนิติบุคคล บุคคลธรรมดาที่ลงทุนในกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) ได้รับการยกเว้นภาษีจากปันผลเป็นเวลา 10 ปี นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน * วัน XD (Excluded Dividend) เป็นวันที่ผู้ลงทุนจะไม่ได้รับสิทธิในเงินปันผล (ผู้ที่ถือครองหลักทรัพย์ ก่อนวันขึ้นเครื่องหมาย XD จะได้รับเงินปันผล) กำไรจากส่วนต่างราคา บุคคลธรรมดา ได้รับการยกเว้น นิติบุคคลทั่วไป นำไปรวมเป็นรายได้และเสียภาษี นิติบุคคลที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ นำไปรวมเป็นรายได้และเสียภาษี ข้อยกเว้นอื่นๆ นิติบุคคลที่ลงทุนในกอง REIT ต้องเสียภาษีจากปันผลในอัตราปกติของภาษีนิติบุคคล บุคคลธรรมดาที่ลงทุนในกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) ได้รับการยกเว้นภาษีจากปันผลเป็นเวลา 10 ปี นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน 1. กรณีบุคคลธรรมดา 1) เงินปันผล สำหรับบุคคลธรรมดาสามารถเลือกได้ 2 ทางเลือก คือ * หัก ภาษี ณ ที่จ่าย 10% วิธีนี้จะถือว่าผู้ลงทุนยินดีชำระภาษีที่ 10% ตามภาษีหัก ณ ที่จ่าย * หัก ภาษี ณ ที่จ่าย 10% แล้วเครดิตภาษีคืน โดยนำเงินปันผลไปรวมเป็นรายได้ ซึ่งวิธีนี้ผู้ลงทุนจะได้รับเงินภาษีที่หัก ณ ที่จ่าย 10% คืน และภาษีในระดับฐานภาษีบุคคลธรรมดาของตนเองแทน 2) กำไรจากส่วนต่างราคา ได้รับการยกเว้นภาษี 2. กรณีนิติบุคคลทั่วไป 1) ปันผล สามารถแบ่งเป็น 2 กรณี คือ * นำเงินปันผลทั้งหมดไปรวมเป็นรายได้และเสียภาษี (ไม่มีภาษีหัก ณ ที่จ่าย ต่างจากตราสารทุนที่มี 10%) * ได้รับการยกเว้นภาษีกึ่งหนึ่ง กรณีลงทุนก่อนปันผล 3 เดือนและยังคงถือครองหลังปันผลอีก 3 เดือน (หน้า 3 หลัง 3) 2) กำไรจากส่วนต่างราคา นำไปรวมเป็นรายได้แล้วเสียภาษี 3. กรณีนิติบุคคลที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 1) ปันผล สามารถแบ่งเป็น 2 กรณี คือ * 1. นำเงินปันผลทั้งหมดไปรวมเป็นรายได้และเสียภาษี (ไม่มีภาษีหัก ณ ที่จ่าย ต่างจากตราสารทุนที่มี 10%) * 2. ได้รับการยกเว้นภาษีทั้งหมด กรณีลงทุนก่อนปันผล 3 เดือนและยังคงถือครองหลังปันผลอีก 3 เดือน (หน้า 3 หลัง 3) 2) กำไรจากส่วนต่างราคา นำไปรวมเป็นรายได้แล้วเสียภาษี เนื้อหาเสริม: กองทุนรวมเพื่อการออม (Super Saving Fund: SSF) ในปี 2563 กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long Term Equity Fund: LTF) ได้ถูกยกเลิก และมีกองทุนรวมเพื่อการออม (Super Saving Fund: SSF) เข้ามาแทนที่ โดย LTF และ SSF มีความแตกต่างกันดังนี้ LTF วัตถุประสงค์ของกองทุน สร้างเสถียรภาพให้ตลาดหุ้นไทย ลดหย่อนภาษี ไม่เกิน 15% ของรายได้ และ ไม่เกิน 500,000 บาท ระยะเวลาลงทุน 7 ปีปฏิทิน หลักทรัพย์ที่กองทุนลงทุน หุ้นไทย ไม่ต่ำกว่า 65% SSF วัตถุประสงค์ของกองทุน เพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว ลดหย่อนภาษี ไม่เกิน 30% ของรายได้ และ ไม่เกิน 200,000 บาท และ เมื่อรวมกับเครื่องมือการออมเพื่อการเกษียณอื่น1 ต้องไม่เกิน 500,000 บาท ระยะเวลาลงทุน 10 ปี บริบูรณ์ (นับจากวันที่ซื้อ) หลักทรัพย์ที่กองทุนลงทุน หลักทรัพย์ทุกประเภท เช่น ตราสารหนี้, หุ้น, กองทุน โดยลงทุนได้ทั้งในและต่างประเทศ เครื่องมือการเกษียณอื่น ในที่นี้ คือ RMF, PVD, กบข., ประกันชีวิตแบบบำนาญ นอกจากนำ SSF มาทดแทน LTF แล้ว ยังมีการเปลี่ยนกฎเกณฑ์ของ RMF 2 ข้อ ดังนี้ 1. ลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้นจาก 15% ของรายได้ เป็น 30% ของรายได้ 2. ยกเลิกเงินลงทุนขั้นต่ำ (แต่ยังคงต้องลงทุนต่อเนื่องเหมือนเดิม)
1345161.txt
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 7. การเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ 7.1 หลักเกณฑ์ในการเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์มีหน้าที่กำหนดขั้นตอน พิจารณาคำขอเปิดบัญชี รวมถึงทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรกับลูกค้า รวมถึงต้องมีกระบวนการตรวจสอบว่าลูกค้าจริงเป็นบุคคลเดียวกับข้อมูลในเอกสาร 1. กระบวนการตรวจสอบ สามารถใช้หลายวิธี หรือวิธีใดวิธีหนึ่งดังนี้ 1) ให้ลูกค้าลงนามในใบคำขอเปิดบัญชี 2) ตรวจสอบกลับไปยังลูกค้า (เช่น โทรกลับ) เพื่อตรวจสอบความมีตัวตนของลูกค้า 3) แต่งตั้งบุคคลที่เชื่อถือได้มาตรวจสอบทั้งเอกสารและความมีตัวตนของลูกค้า 4) ลูกค้ายื่นเอกสารยืนยันตัวตน และ บล. ตรวจสอบเอกสาร 5) วิธีการอื่นๆ ที่ บล. สามารถแสดงให้เห็นว่าเพียงพอในการตรวจสอบว่าลูกค้าจริงเป็นบุคคลเดียวกับข้อมูลในเอกสาร 2. แบบฟอร์มการขอเปิดบัญชี ต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้า ดังนี้ 1) วัตถุประสงค์การลงทุน 2) ระดับความรู้และประสบการณ์ลงทุนในหลักทรัพย์ 3) ฐานะทางการเงินและภาระหนี้สิน 3. ข้อความที่ต้องเน้นให้เด่นชัดในสัญญาที่บริษัทหลักทรัพย์ทำกับลูกค้า 1) ความเสี่ยงของการลงทุนที่อาจทำให้ลูกค้าขาดทุน 2) สิ่งที่ บล. อาจบังคับลูกค้า เช่น * ให้วางหรือเพิ่มหลักประกัน (มักเกิดในกรณีที่ผู้ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า : Futures) * การบังคับขาย (Forced Sale) และการบังคับซื้อคืนหลักทรัพย์ * การระงับเงินที่ลูกค้ามีสิทธิได้รับจากหลักทรัพย์ เพื่อนำมาชำระหนี้ของลูกค้า * บล. สามารถเลิกสัญญาได้ แต่ต้องรับผิดชอบลูกค้าจากความผิดพลาดของ บล. หรือ พนักงานของ บล. 3) การซื้อหลักทรัพย์ให้ลูกค้า ต้องเป็นตามลำดับก่อนหลัง และเงื่อนไขการซื้อขาย 7.2 ประเภทของบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ ลูกค้าสามารถเลือกประเภทของบัญชีซื้อขาย ซึ่งมี 2 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้ 1. บัญชีเงินสด (Cash Account) คือ บัญชีที่ชำระเงินค่าซื้อหลักทรัพย์เป็นเงินสดเต็มจำนวน โดย สามารถแยกย่อยเป็น 2 รูปแบบดังนี้ 1) บัญชีเงินสดปกติ (Normal Cash) คือ บัญชีที่จะเก็บเงินค่าซื้อหลักทรัพย์เป็นเงินสดเต็มจำนวนจากลูกค้าในวันที่ T+2 โดยจะมีการกำหนดวงเงินที่ลูกค้าสามารถซื้อได้ในแต่ละวัน ซึ่งพิจารณาวงเงินจากข้อมูลฐานะการเงินของลูกค้า 2) บัญชีเงินสดแบบมีหลักประกันเต็มจำนวน (Cash Balance) เป็นบัญชีที่ผู้ลงทุนต้องโอนเงินเข้าบัญชีของ บล. ก่อน โดยลูกค้าจะซื้อหลักทรัพย์ได้ไม่เกินจำนวนเงินในบัญชีดังกล่าว และเมื่อมีการซื้อหลักทรัพย์จำนวนเงินในบัญชีก็จะถูกหักไปชำระค่าซื้อหลักทรัพย์ทันที (วันที่ T) ทั้งนี้เงินสดส่วนที่ยังไม่ได้ซื้อหลักทรัพย์นั้นจะถูกฝากไว้กับ บล. และจะได้รับดอกเบี้ยจาก บล. ด้วย 2. บัญชีมาร์จิ้น (Margin Account) คือ บัญชีที่อนุญาตให้ลูกค้ากู้เงินจาก บล. มาลงทุน รวมถึงสามารถยืมหุ้นมาขาย (Short Sale) ได้ ซึ่งแน่นอนว่าผู้ลงทุนต้องจ่ายดอกเบี้ยในการกู้ยืมรวมถึงการ Short Sale โดย บล. จะมีความเสี่ยงในการที่ผู้ลงทุนผิดนัดชำระหนี้ ดังนั้นตลาดหลักทรัพย์ได้นำระบบ Credit Balance เข้ามาช่วยป้องกันความเสี่ยงซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ 1) มีการนำเงินสดหรือหลักทรัพย์มาวางเป็นหลักประกัน (Initial Margin) ก่อนการกู้ยืมเงินไปลงทุน 2) มีการปรับมูลค่าของหลักประกัน เมื่อหลักทรัพย์ที่ผู้ลงทุนไปลงทุนมีมูลค่าเปลี่ยนแปลงไป เช่น การที่มูลค่าหลักทรัพย์ลดลงทำให้ผู้ลงทุนขาดทุน บล. จะมีความเสี่ยงมากขึ้นที่ผู้ลงทุนจะไม่สามารถนำเงินมาชำระหนี้ ดังนั้น บล. จึงนำส่วนที่ลูกค้าขาดทุนมากหักกับมูลค่าหลักประกัน ซึ่งมีผลให้มูลค่าหลักประกันลดลง 3) อัตรามาร์จิ้นที่ต้องดำรงไว้ (Maintenance Margin) ในกรณีที่มูลค่าหลักประกันลดลงเรื่อยๆ จนถึงต่ำกว่าระดับ Maintenance Margin ทาง บล. จะเรียกให้ลูกค้านำเงินสดหรือหลักทรัพย์มาค้ำประกันเพิ่ม (Call Margin) 4) การเรียกหลักประกันเพิ่ม (Call Margin) จะเรียกเพิ่มเป็นจำนวนเงินที่ทำให้หลักทรัพย์ค้ำประกันกลับมาเท่ากับ Maintenance Margin 5) อัตราการบังคับขาย (Forced Sale) ในกรณีที่มูลค่าหลักประกันลดลงต่อเนื่อง และผู้ลงทุนไม่นำเงินมาค้ำประกันเพิ่ม จนหลักประกันมีมูลค่าต่ำกว่าระดับ Forced Sale บริษัทหลักทรัพย์จะบังคับขายหลักทรัพย์ของผู้ลงทุนทันที
1345187.txt
การซื้อขายตราสารหนี้ในไทย 1. ตลาดตราสารหนี้ ตลาดตราสารหนี้นั้นแบ่งออกเป็นตลาดแรกและตลาดรอง ซึ่งได้กล่าวถึงความหมายของทั้งสองตลาดและกล่าวถึงการเสนอขายแบบ PO และ PP ไปแล้วในบทที่ 1 ของหนังสือ IC เล่มแรก (ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการเงินและการลงทุน) ดังนั้นเนื้อหาในบทนี้จะกล่าวถึงตลาด TBX, ตลาด OTC ของตราสารหนี้ และตลาด Repo เท่านั้น 1.1 Thailand Bond Exchange: TBX (Thailand Bond Exchange ชื่อเดิมคือ Bond Electronic Exchange หรือ BEX นั่นเอง) 1. กระบวนการซื้อขาย * ผู้ลงทุนส่งคำสั่งซื้อ/ขาย ไปยังบริษัทหลักทรัพย์ (Broker) * บริษัทหลักทรัพย์ส่งคำสั่งของผู้ลงทุน เข้าระบบของ TBX * TBX จะยืนยันการจับคู่ให้กับบริษัทหลักทรัพย์ และส่งผลการจับคู่ไปยังสำนักงานหักบัญชี (TCH) * สำนักงานหักบัญชีจะทำหน้าที่เป็นตัวแทนรับซื้อ/ขาย (Counter Party) ให้กับผู้ลงทุน แล้วจ่ายชำระราคา/ส่งมอบหลักทรัพย์ (จ่ายชำระราคา ให้กับผู้ขายตราสารหนี้ หรือ ส่งมอบหลักทรัพย์ให้ผู้ซื้อ) ไปยังบริษัทหลักทรัพย์ * บริษัทหลักทรัพย์จ่ายชำระราคา/ส่งมอบหลักทรัพย์ให้ผู้ลงทุน 2. ช่องทางการส่งคำสั่งซื้อขาย แบ่งตามประเภทผู้ซื้อได้ดังนี้ 1) ช่องทางสำหรับรายย่อย ส่งคำสั่งซื้อขายผ่านบริษัทหลักทรัพย์ (Broker) 2) ช่องทางสำหรับผู้ลงทุนสถาบัน ส่งคำสั่งซื้อขายผ่านระบบ Fixed Income and Related Securities Trading System (FIRSTs) 3. ข้อมูลเกี่ยวกับตลาด TBX 1) ข้อมูลเกี่ยวกับการซื้อขายในตลาด TBX เวลาการซื้อขาย ช่วงเช้า 10.00 ถึง 12.30 ช่วงบ่าย 14.30 ถึง 16.30 ราคาซื้อขาย ใช้ราคารวมดอกเบี้ยค้างรับ (dirty price/gross price) มีทศนิยม 2 ตำแหน่ง หน่วยการซื้อขาย 1 หน่วยซื้อขาย ซึ่งเท่ากับตราสารหนี้จำนวน 100 หน่วย (หากซื้อ 3 หน่วยซื้อขาย ก็จะได้ตราสารหนี้ 300 หน่วย) มูลค่าการซื้อขายต่อครั้ง ขั้นต่ำ 100 หน่วยตราสารหนี้ (1 หน่วยซื้อขาย) หรือ 100,00 บาท และสูงสุดไม่เกิน 10,000 หน่วยตราสารหนี้ (100 หน่วยการซื้อขาย) หรือ 10,000,000 บาท ช่วงราคา (Spread) ราคาปรับขึ้นลงช่วงละ 0.01 ราคาสูงสุดต่ำสุด ไม่ได้กำหนดราคาสูงสุด (Celling) และราคาต่ำสุด (floor) ของการเคลื่อนไหวของราคาแต่ละวันไว้ ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย แต่ละ บล. เป็นผู้กำหนดเอง 2) เครื่องหมายต่างๆ ในตลาด TBX เครื่องหมายต่างๆ จะขึ้น 2 วันทำการ ซึ่งแต่ละเครื่องหมายมีความหมายดังนี้ XI (Ex-Interest) ผู้ซื้อหลักทรัพย์จะไม่มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยของงวดนั้น XP (Ex-Principle) ผู้ซื้อหลักทรัพย์จะไม่มีสิทธิได้รับเงินต้นของงวดนั้น NP (Notice Pending) กำลังรอข้อมูลที่บริษัทต้องรายงานต่อตลาด TBX NR (Notice Received) บริษัทที่ขึ้น NP รายงานข้อมูลแล้ว H (Halt) หยุดการซื้อขายชั่วคราวไม่เกิน 1 รอบการซื้อขายของตลาด SP (Suspension) หยุดการซื้อขายชั่วคราวเกิน 1 รอบการซื้อขายของตลาด 3) การชำระราคาและการส่งมอบตราสารหนี้ ซึ่งดำเนินการโดยสำนักงานหักบัญชี (Thailand Clearing House: TCH) ประกอบด้วย 2 วิธี ดังนี้ * วิธีการชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์แบบ Net Clearing เป็นการชำระราคาและส่งมอบตราสารหนี้ในอีก 2 วันทำการซื้อขาย (T+2) ซึ่งถือเป็นกรณีทั่วไป * การชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์แบบทีละรายการ (Gross Clearing) เป็นการชำระราคาและส่งมอบตราสารหนี้ภายใน 2 วันทำการซื้อขาย (อาจเป็นในวันที่ซื้อขาย, วันที่ T+1 หรือ T+2 ขึ้นอยู่กับการตกลงกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย) ซึ่งผู้ที่มีสิทธิเลือกวิธีนี้ต้องมีการซื้อขายตราสารหนี้มูลค่า ≥50 ล้านบาท สำคัญ ผู้ที่ลงทุนในวันที่ขึ้นเครื่องหมายจะไม่ได้รับสิทธินั้น เช่น ลงทุนในวันที่ขึ้นเครื่องหมาย XI จะไม่ได้รับดอกเบี้ยงวดนั้น และหากต้องการดอกเบี้ยต้องลงทุนก่อนขึ้นเครื่องหมาย XI อย่างน้อย 1 วันทำการ 4. การการกำกับดูแลการซื้อขายตราสารหนี้ (มีหลักการเช่นเดียวกับการกำกับดูแลการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในบทที่ 4) ซึ่งดำเนินการโดยฝ่ายกำกับการซื้อขาย (Market surveillance department) ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งทำหน้าที่ดังนี้ 1) การติดตามภาวะการซื้อขาย เพื่อตรวจสอบคำสั่งซื้อขายที่ผิดปกติ 2) ติดตามการเปิดเผยข้อมูลของบริษัท เช่น การเปิดเผยข้อมูลที่มีผลสำคัญต่อฐานะการเงินของกิจการ, การรายงานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับข่าวลือต่างๆ 5. การจดทะเบียนตราสารหนี้ในตลาด TBX 1) เกณฑ์การรับจดทะเบียน * มูลค่าเสนอขายตราสารหนี้ ≥100 ล้านบาท * ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลให้สามารถออกตราสารหนี้ได้ 2) ค่าธรรมเนียนการจดทะเบียน ปัจจุบันไม่มี 3) การเปิดเผยข้อมูล บริษัทผู้ออกตราสารหนี้ต้องเปิดเผยข้อมูล ดังนี้ * ข้อมูลเกี่ยวกับการประชุมผู้ถือตราสารหนี้ เช่น กำหนดการวันประชุม, วาระการประชุม * การปิดสมุดหรือเปลี่ยนแปลงวันปิดสมุดเพื่อกำหนดรายชื่อผู้ที่จะมีสิทธิต่างๆ เช่น สิทธิเข้าประชุม, สิทธิการรับดอกเบี้ย, สิทธิการรับเงินต้น, สิทธิในการซื้อหุ้นสามัญ (Convertible Bond) (การใช้สิทธิในการซื้อหุ้นสามัญ บางครั้งถูกเรียกว่า การแปลงสภาพ เนื่องจากตราสารหนี้ที่ถืออยู่จะถูกเปลี่ยนเป็นหุ้นสามัญเมื่อมีการใช้สิทธิ), สิทธิในการไถ่ถอนตราสารหนี้คืนก่อนครบกำหนดของผู้ถือตราสารหนี้ (Puttable Bond), การถูกไถ่ถอนตราสารหนี้คืนก่อนครบกำหนดจากผู้ออกตราสาร (Callable Bond) * รายงานผลการใช้สิทธิต่างๆ เช่น การซื้อหุ้นสามัญ, การไถ่ถอนตราสารหนี้ก่อนครบกำหนด โดยข้อมูลที่รายงาน เช่น จำนวนการใช้สิทธิ, จำนวนตราสารหนี้คงเหลือ * เหตุการณ์ที่อาจมีผลกระทบต่อราคาตราสารหนี้รุนแรง เช่น การเปลี่ยนแปลงสิทธิต่างๆ, การผิดนัดชำระหนี้ของผู้ออกตราสารหนี้, การมีเหตุให้ต้องดำรงอัตราส่วนทางการเงินตามข้อกำหนดสิทธิ * รายงานงบการเงิน (กรณีตราสารหนี้ที่ออกโดยภาคเอกชน) 6. กลุ่มตราสารหนี้ในตลาด TBX แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ 1) พันธบัตรรัฐบาล 2) พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ 3) ตราสารหนี้ที่ออกโดยภาคเอกชน 1.2 ตลาดที่ไม่ได้จัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ (Over-the-counter: OTC) ในปัจจุบันตราสารหนี้ส่วนใหญ่ซื้อขายกันในแบบต่อรองราคากันเองระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย (Over-the-counter: OTC) ซึ่งการซื้อขายแบบ OTC สามารถแบ่งตามเกณฑ์คู่ค้าได้ 2 ประเภท ดังนี้ 1. ประเภทการซื้อขายตลาด OTC 1) การซื้อขายระหว่างผู้ค้าตราสารหนี้กับผู้ค้าตราสารหนี้ (Dealer to Dealer) (ผู้ค้าตราสารหนี้ Dealer คือ สถาบันการเงิน เช่น ธนาคาร, บริษัทหลักทรัพย์ ที่มีใบอนุญาตรับซื้อและ ขายตราสารหนี้ จาก ก.ล.ต. ทำหน้าที่และสร้างรายได้จากการรับซื้อและขายหลักทรัพย์ ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับร้านทองที่ทำหน้าที่และสร้างรายได้จากการรับซื้อและขายทอง โดยตั้งราคาขายรับซื้อที่ 19,700 บาท และราคาขายที่ 19,800 บาท และได้กำไรจากส่วนต่างราคาซื้อขายนั่นเอง) โดยการซื้อขายอาจเป็นการติดต่อกันโดยตรงระหว่างผู้ค้าตราสารหนี้กับผู้ค้าตราสารหนี้ หรือติดต่อกันผ่านนายหน้าระหว่างผู้ค้าตราสารหนี้ (Inter dealer broker : IDB) (นายหน้าระหว่างผู้ค้าตราสารหนี้ (IDB) คือ นายหน้าหรือตัวแทนเพื่อให้เกิดการซื้อขายตราสารหนี้ระหว่างผู้ค้าตราสารหนี้โดย IDB สร้างรายได้จากค่านายหน้า, ค่าธรรมเนียม) 2) การซื้อขายระหว่างผู้ค้าตราสารหนี้กับลูกค้า (Dealer to Client) ซึ่งลูกค้าในที่นี้สามารถเป็นออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ * นักลงทุนสถาบัน เช่น บริษัทจัดการกองทุน, กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.), บริษัทประกัน * นักลงทุนทั่วไป 2. ขั้นตอนการซื้อขายในตลาด OTC เริ่มจากผู้ค้าตราสารหนี้กำหนดราคาเสนอซื้อและเสนอขาย แล้วให้ผู้ที่ต้องการซื้อหรือขาย ติดต่อเข้ามาเพื่อต่อรองราคา ผู้ค้าตราสารหนี้ (Dealer) กำหนดราคาเสนอซื้อและราคาเสนอขายตราสารหนี้ โดยกำหนดราคาเป็นอัตราผลตอบแทน (YTM) เช่น เสนอซื้อที่ 3.10% และเสนอขายที่ 3.00% ผู้ต้องการซื้อ/ขาย ตราสารหนี้ ติดต่อผู้ค้าตราสารหนี้ผ่านโทรศัพท์หรือโปรแกรมคอมฯ โดยสามารถต่อรองราคาได้เช่น ผู้ต้องการซื้อต่อรองราคาที่ Dealer เสนอขายจาก 3.00% เป็น 3.05% 3. ประเภทของธุรกรรมซื้อขายของตลาดรอง 1) ธุรกรรมซื้อขายปกติ (outright transaction) คือ การซื้อขายตราสารหนี้ตามปกติ 2) ธุรกรรมซื้อคืน (financing transaction) คือ การขายตราสารหนี้โดยมีสัญญาว่าจะซื้อคืน ธุรกรรมซื้อคืนนี้เปรียบเสมือนการกู้ยืมโดยมีตราสารหนี้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันนั่นเอง 3) ธุรกรรมซื้อขายเพื่อวัตถุประสงค์อื่น (other transaction) เช่น การซื้อขายตราสารหนี้ล่วงหน้า (เช่น ทำสัญญากันว่าจะซื้อขายตราสารหนี้กันในอีก 3 เดือน), การซื้อขายที่มีการชำระราคาและส่งมอบเกินกว่า 4 วันทำการ (>T+4) 4. การชำระราคาและการส่งมอบตราสารหนี้ของตลาด OTC นั้นขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้ออกตราสาร (ภาครัฐหรือภาคเอกชน) และตราสารนั้นเป็นประเภทไร้ใบตราสาร (Scripless) หรือมีใบตราสาร (Script) ซึ่งสรุปได้ดังนี้ ตราสารหนี้ภาครัฐ ไร้ใบตราสาร (Scripless) (ปัจจุบันตราสารหนี้ส่วนใหญ่เป็นแบบไม่มีใบตราสาร) ดำเนินการโดยศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (TSD) ตราสารหนี้ภาครัฐ มีในตราสาร (Script) ดำเนินการโดยศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (TSD) ตราสารหนี้ภาคเอกชน ไร้ใบตราสาร (Scripless) (ปัจจุบันตราสารหนี้ส่วนใหญ่เป็นแบบไม่มีใบตราสาร) ไม่มีการรวมศูนย์อย่างตราสารภาครัฐ แต่ส่วนใหญ่ดำเนินการโดยศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (TSD) ตราสารหนี้ภาคเอกชน มีในตราสาร (Script) สลักหลัง แล้วดำเนินการที่นายทะเบียนของตราสารหนี้รุ่นนั้น 1.3 ตลาดซื้อคืนตราสารหนี้ (Repo Market) 1. ความหมาย คือ ตลาดรองสำหรับการทำธุรกรรมซื้อคืน 2. ลักษณะของธุรกรรมซื้อคืน มีดังนี้ * เป็นการขายตราสารหนี้โดยมีสัญญาว่าจะซื้อคืนในวันที่กำหนด * ตราสารหนี้ที่ขายส่วนใหญ่เป็นพันธบัตร * วันที่กำหนดซื้อคืนนั้นเป็นระยะสั้น เช่น อีก 1 วัน, 7 วัน, 14 วัน * ราคาที่ซื้อคืนจะสูงกว่าราคาที่ขายเสมือนเป็นดอกเบี้ยให้คู่สัญญา * ธุรกรรมซื้อคืนเปรียบเสมือนการกู้ยืมระยะสั้นโดยใช้พันธบัตรมาค้ำประกัน 3. ประโยชน์ของตลาดซื้อคืน * ใช้ในกรณีที่ผู้ทำธุรกรรมต้องการเงินทุนเพื่อบริหารสภาพคล่องระยะสั้น * ต้นทุนต่ำ เนื่องจากเป็นการกู้ระยะสั้นและมีพันธบัตรค้ำประกัน * เป็นช่องทางการดำเนินนโยบายทางการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อดูแลสภาพคล่องและอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น ผ่านการกำหนดอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตร 1 วัน (RP1 วัน)
1345136.txt
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกองทุนรวม 2. ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกองทุนรวม แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ดังนี้ 2.1 กลุ่มผู้ประกอบการและผู้เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการ 1. บริษัทจัดการกองทุน (บลจ.) ทำหน้าที่จัดตั้งกองทุน, ทำหนังสือชี้ชวน, บริหารจัดการกองทุน รวมถึงเสนอขายกองทุนและรับซื้อคืนหน่วยลงทุน 2. ตัวแทนสนับสนุนการขาย เช่น บริษัทหลักทรัพย์, บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน (บลน.), บริษัทประกันชีวิต, สถาบันการเงิน โดยตัวแทนสนับสนุนการขายจะทำหน้าที่ เป็นคนกลางในการช่วยเสนอขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุน รวมถึงการแจกจ่ายหนังสือชี้ชวนการลงทุน 3. ผู้แนะนำการลงทุน คือ พนักงานของ บลจ. หรือ พนักงานของตัวแทนสนับสนุนการขาย ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ให้คำแนะนำกาลงทุน โดยบุคคลเหล่านี้จะต้องผ่านการทดสอบและได้รับความเห็นชอบจาก ก.ล.ต. 4. ผู้จัดการกองทุน คือ พนักงานของ บลจ. ที่ทำหน้าที่ในการบริหารจัดการกองทุน โดยผู้จัดการกองทุนต้องได้รับความเห็นชอบจาก ก.ล.ต. และผ่านการทดสอบ CFA Level 1 หรือ CISA Level 1 และมีประสบการณ์ทำงานที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 2 ปี ในช่วง 5 ปีล่าสุด หรือ ในกรณีที่ไม่มีประสบการณ์ต้องผ่านการทดสอบ CFA Level 3 หรือ CISA Level 3 CFA เป็นหลักสูตรสำหรับ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์และผู้จัดการกองทุน ที่เป็นที่ยอมรับระดับสากล CISA เป็นหลักสูตรสำหรับนักเคราะห์หลักทรัพย์และผู้จัดการกองทุนของไทย 2.2 กลุ่มผู้ลงทุน ซึ่งได้แก่ผู้ที่ถือหน่วยลงทุน (ผู้ลงทุน) 2.3 กลุ่มผู้สนับสนุนและกำกับดูแล 1. ก.ล.ต. ออกกฎเกณฑ์ ตรวจสอบ กำกับดูแล บลจ. รวมถึงการพัฒนาธุรกิจการจัดการกองทุน 2. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทำหน้าที่เป็นตลาดรองในการซื้อขายกองทุนรวมประเภทกองทุนปิด และ ETF (เนื้อหาในบทนี้จะกล่าวถึงกองทุนปิดและกองทุน ETF ภายหลัง) 3. สมาคมบริษัทจัดการลงทุน ทุก บลจ. ต้องเป็นสมาชิกสมาคม ซึ่งสมาคมมีหน้าที่ส่งเสริมจรรยาบรรณรวมถึงพัฒนาธุรกิจจัดการลงทุน (ทั้งธุรกิจกองทุนรวม, กองทุนส่วนบุคคล และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ) 4. ผู้สอบบัญชีกองทุนรวม ต้องขึ้นทะเบียนกับ ก.ล.ต. มีหน้าที่ตรวจสอบและรับรองงบการเงินของกองทุนรวม 5. ผู้ชำระบัญชี เมื่อมีการเลิกกองทุน บลจ. ต้องจัดตั้งผู้ชำระบัญชี เข้ามาทำหน้าที่จำหน่ายทรัพย์สิน/หลักทรัพย์ในกองทุน และแจกจ่ายคืนให้กับผู้ถือหน่วยลงทุน 6. นายทะเบียน ทำหน้าที่บันทึกข้อมูลต่างๆ ของผู้ถือหน่วยลงทุน เช่น ชื่อ, ที่อยู่, จำนวนหน่วยลงทุน (บลจ. สามารถทำหน้าที่นายทะเบียนเองได้) 7. ผู้ดูแลผลประโยชน์ ทำหน้าที่เสมือนเป็นตัวแทนของผู้ถือหน่วย ในการตรวจทานการคำนวณมูลค่าหน่วยลงทุน เก็บรักษาทรัพย์สินกองทุน (เก็บทั้งเงินสดที่ระดมทุนจากผู้ลงทุนและรวมถึงหลักทรัพย์เมื่อมีการลงทุน) นอกจากนี้ผู้ดูแลผลประโยชน์ยังมีหน้าที่รับ/จ่ายเงิน รวมถึงการรับ/ส่งมอบหลักทรัพย์ โดยผู้ดูแลผลประโยชน์ต้องไม่ใช่ตัว บลจ. เอง และต้องไม่ใช่บริษัทในเครือ ของ บลจ. 8. ผู้จัดอันดับกองทุนรวม ที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. มี 4 แห่ง คือ 1) FICTH Rating Thailand 2) Reuters Thailand 3) Morningstar Thailand 4) TRIS Rating
1345159.txt
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 11. ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ฯ และบทวิเคราะห์จาก บล. 11.1 ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ 1. รายงานราคาซื้อขายหลักทรัพย์แบบ Real-time ทั้งตลาดตราสารทุน (SET/Mai), ตลาดตราสารหนี้ (BEX) และตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) 2. รายงานข้อมูลซื้อขายหลักทรัพย์สิ้นวัน ซึ่งจะรายงานภาพรวมและราคาปิดของตลาดตราสารทุน (SET/Mai), ตลาดตราสารหนี้ (BEX) และตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) 3. รายงานสารสนเทศของบริษัทจดทะเบียน เช่น ข้อมูลบริษัท, ลักษณะธุรกิจ, ข่าวสาร, งบการเงินของบริษัท 4. SETSMART คือ บริการด้านข้อมูลที่ตลาดหลักทรัพย์พัฒนาขึ้น เพื่อให้ข้อมูลซื้อขายหลักทรัพย์, ข้อมูลสารสนเทศของบริษัทจดทะเบียน รวมถึงสถิติต่างๆ ที่สำคัญ ในบริการเดียว โดย SETSMART ถูกออกแบบเป็น Web-based application และแยกย่อยได้ 3 ประเภท 1) SETSMART on Extranet * สำหรับผู้ใช้งานองค์กร * ใช้งานผ่านเครือข่าย Extranet ของตลาดหลักทรัพย์ฯ 2) SETSMART on Internet * สำหรับผู้ใช้งานรายย่อย หรือนักศึกษา * ใช้งานผ่าน Internet * มีทั้งแบบให้ข้อมูล 3 ปีย้อนหลัง และ 5 ปี ย้อนหลัง 3) SETSMART Enterprise * สำหรับผู้ใช้งานองค์กร * ใช้งานผ่านเครือข่าย Intranet ขององค์กรเอง (องค์กรที่ใช้ SETSMART Enterprise ส่วนใหญ่เป็น บริษัทหลักทรัพย์) 11.2 บทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) มีรายละเอียดของข้อมูลดังนี้ 1. ตารางสรุปงบการเงินและอัตราส่วนการเงินอย่างน้อย 2 ปี ย้อนหลัง และคาดการณ์อย่างน้อย 3 ปีไปข้างหน้า ซึ่งงบการเงินที่สำคัญมี 3 งบ ดังนี้ 1) งบกำไรขาดทุน 2) งบแสดงฐานะทางการเงิน (งบดุล) 3) งบกระแสเงินสด 2. ข้อมูลที่สำคัญของบริษัท เช่น ราคาและปริมาณซื้อขายย้อนหลัง, ผู้ถือหุ้นใหญ่, ราคาเป้าหมาย 3. ข้อมูลสถิติที่สำคัญของหลักทรัพย์ที่ถูกวิเคราะห์ เช่น * ธุรกิจพาณิชย์ ควรมีสถิติจำนวนสาขา, ยอดขายเฉลี่ยต่อสาขา * ธุรกิจโรงแรม ควรมีแนวโน้มนักท่องเที่ยว, อัตราการเข้าพัก, รายได้ค่าเช่าเฉลี่ยต่อห้อง 4. เหตุการณ์สำคัญของบริษัทรวมถึงการประเมินผลของเหตุการณ์ เช่น การควบรวมกิจการ, การขยายกิจการไปต่างประเทศ, หรือแผนการในอนาคตที่สำคัญของบริษัท 5. คำแนะนำในการลงทุน เช่น แนะนำซื้อ, ขาย หรือ ถือ รวมทั้งให้เหตุผลประกอบ 6. กรณีบทวิเคราะห์เชิงลึก (เช่น การวิเคราะห์หลักทรัพย์นั้นเป็นครั้งแรก) ควรมีองค์ประกอบเพิ่มเติมดังนั้น 1) ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อกำไรของบริษัท 2) การวิเคราะห์ภาพรวมของอุตสาหกรรม และคู่แข่ง 3) สมติฐานที่ใช้ในหาราคาเป้าหมายของหลักทรัพย์ (มูลค่าของหลักทรัพย์) 4) Sensitivity analysis โดยการแสดงราคาเป้าหมายในกรณีที่ปัจจัยต่างๆ ดีกว่า, เท่ากับ หรือแย่กว่าที่คาดการณ์ (Best, Base, Worst)
1345191.txt
การประเมินมูลค่าและอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ 3. การคำนวณอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้มีหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละรูปแบบสามารถคำนวณได้ดังนี้ 3.1 อัตราผลตอบแทนจากดอกเบี้ย (Current Yield) เป็นการคำนวณอัตราผลตอบแทนโดยการใช้ดอกเบี้ยรับต่อปี หารด้วย ราคาปัจจุบันของตราสารหนี้ 1. การคำนวณ Current Yield มีสูตรการคำนวณดังนี้ Current Yield = จำนวนดอกเบี้ยที่ได้รับต่อปี / ราคาปัจจุบัน โดย จำนวนดอกเบี้ยที่ได้รับต่อปี = อัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว x มูลค่าหน้าตั๋ว ตัวอย่าง : หุ้นกู้ ABC อายุ 6 ปี มีมูลค่าที่ตราไว้ (Par Value) 1,000 บาท อัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว (Coupon Rate) 6% ต่อปีทบต้นปีละ 2 ครั้ง ปัจจุบันหุ้นกู้มีราคาตลาดอยู่ที่ 950 บาท จงหาอัตราผลตอบแทนจากดอกเบี้ย (Current Yield) ของหุ้นกู้ ABC วิธีทำ ขั้นที่ 1 แทนสูตร จำนวนดอกเบี้ยที่ได้รับต่อปี = 0.06 x 1,000 = 60 บาท (หากคำนวณเป็นการจ่ายต่อครั้งจะเท่ากับจ่ายครั้งละ 30 บาท และจ่ายปีละ 2 ครั้ง) ราคาปัจจุบัน = 960 บาท ขั้นที่ 2 คำนวณ Current Yield = 60 / 960 = 0.0625 หรือ 6.25% 2. ความสัมพันธ์ระหว่าง อัตราผลตอบแทนจากดอกเบี้ย (Current Yield), อัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว (Coupon Rate) และราคาตราสารหนี้ Current Yield = Coupon Rate ราคาตราสารหนี้เท่ากับราคาหน้าตั๋ว ซึ่งเรียกว่า Par Bond Current Yield > Coupon Rate ราคาตราสารหนี้ต่ำกว่าราคาหน้าตั๋ว ซึ่งเรียกว่า Discount Bond Current Yield < Coupon Rate ราคาตราสารหนี้สูงกว่าราคาหน้าตั๋ว ซึ่งเรียกว่า Premium Bond 3.2 อัตราผลตอบแทนถึงวันครบกำหนด (Yield to Maturity : YTM) คือ อัตราผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนจะได้รับหากซื้อตราสารหนี้และถือจนครบกำหนดอายุ โดยในการคำนวณนั้นจะใช้สูตรเดียวกับการหามูลค่าที่เหมาะของตราสารหนี้ แต่ให้ค่า V0 เท่ากับราคาตลาดและหาค่า r แทน โดย YTM จะเท่ากับ r ที่ปรับค่าเป็นผลตอบแทนต่อปี 1. การคำนวณ Yield to Maturity :YTM 2. ความสัมพันธ์ระหว่าง อัตราผลตอบแทนถึงวันครบกำหนด (YTM), อัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว (Coupon Rate) และราคาตราสารหนี้ โดยความสัมพันธ์จะมีลักษณะเช่นเดียวกับ Current Yield ดังนี้ YTM = Coupon Rate ราคาตราสารหนี้เท่ากับราคาหน้าตั๋ว ซึ่งเรียกว่า Par Bond YTM > Coupon Rate ราคาตราสารหนี้ต่ำกว่าราคาหน้าตั๋ว ซึ่งเรียกว่า Discount Bond YTM < Coupon Rate ราคาตราสารหนี้สูงกว่าราคาหน้าตั๋ว ซึ่งเรียกว่า Premium Bond 3.3 อัตราผลตอบแทนถึงวันไถ่ถอนก่อนกำหนดจากผู้ออก (Yield to Call :YTC) คือ อัตราผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนจะได้รับหากซื้อตราสารหนี้และถือจนถึงวันที่ผู้ออกตราสารใช้สิทธิซื้อตราสารหนี้คืน โดยการหา YTC นั้นจะใช้กับตราสารหนี้ประเภท Callable Bond ทั้งนี้การคำนวณ YTC มีหลักการเช่นเดียวกับ YTM แต่มีจุดต่างกัน 2 จุด คือ * ค่า n แทนที่จะนับอายุคงเหลือจนถึงวันครบกำหนด จะนับถึงวันที่ผู้ออกตราสารสามารถใช้สิทธิเรียนคืน (Call Date) * ค่า FV แทนที่จะใช้มูลค่าหน้าตั๋ว (Par Value) จะใช้ราคาไถ่ถอนก่อนกำหนด (Call Price) สำคัญ การแก้สมการเพื่อหาค่า YTC นั้นมีความซับซ้อนและต้องใช้เครื่องคิดเลขทางการเงินเช่นเดียวกับ YTM ดังนั้น * โจทย์น่าจะถามความรู้ทั่วไปหรือสูตรที่ใช้คำนวณ YTC มากกว่า * หากโจทย์ให้คำนวณ YTC ผู้สอบต้องนำคำตอบจากช้อยมาแทนในค่า r และคำนวณหาค่า PV ที่ตรงกับโจทย์แทน 3.4 อัตราผลตอบแทนถึงวันไถ่ถอนก่อนกำหนดจากผู้ลงทุน (Yield to Put :YTP) คือ อัตราผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนจะได้รับหากซื้อตราสารหนี้และถือจนถึงวันที่ผู้ลงทุนใช้สิทธิขายตราสารหนี้คืนให้ผู้ออกตราสาร โดยการหา YTP นั้นจะใช้กับตราสารหนี้ประเภท Puttable Bond ทั้งนี้การคำนวณ YTP มีหลักการเช่นเดียวกับ YTC แต่มีจุดต่างคือ แทนที่จะใช้ราคาไถ่ถอนก่อนกำหนด (Call Price) การหา YTP จะใช้ราคาเรียกคืนเงินกู้ก่อนครบกำหนด (Put Price) สำคัญ การแก้สมการเพื่อหาค่า YTP นั้นมีความซับซ้อนและต้องใช้เครื่องคิดเลขทางการเงินเช่นเดียวกับ YTM และ YTC ดังนั้น * โจทย์น่าจะถามความรู้ทั่วไปหรือสูตรที่ใช้คำนวณ YTP มากกว่า * หากโจทย์ให้คำนวณ YTP ผู้สอบต้องนำคำตอบจากช้อยมาแทนในค่า r และคำนวณหาค่า PV ที่ตรงกับโจทย์แทน
1345144.txt
การซื้อขายตราสารหนี้ในไทย 3. ผู้เกี่ยวข้องกับตราสารหนี้ไทย สามารถแบ่งออกเป็น 5 กลุ่มได้ดังนี้ 3.1 กลุ่มผู้ลงทุน 1. ผู้ลงทุนรายย่อย คือ บุคคลธรรมดา หรือ นิติบุคคลที่มีเงินลงทุนในหลักทรัพย์ต่ำกว่าเกณฑ์ 2. ผู้ลงทุนรายใหญ่ (high net worth) คือ บุคคลธรรมดา หรือ นิติบุคคลที่มีเงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่งดังนี้ บุคคลธรรมดา (นับรวมกับคู่สมรส) สินทรัพย์สุทธิ / ส่วนของผู้ถือหุ้น ≥ 50 ล้าน รายได้ต่อปี ≥ 4 ล้าน เงินลงทุนในหลักทรัพย์ ≥ 10 ล้าน ลงทุนในหลักทรัพย์และเงินฝาก ≥ 20 ล้าน นิติบุคคล สินทรัพย์สุทธิ / ส่วนของผู้ถือหุ้น ≥ 100 ล้าน รายได้ต่อปี - เงินลงทุนในหลักทรัพย์ ≥ 20 ล้าน ลงทุนในหลักทรัพย์และเงินฝาก ≥ 40 ล้าน 3. ผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ (ultra high net worth) คือ บุคคลธรรมดา หรือ นิติบุคคลที่มีเงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่งดังนี้ บุคคลธรรมดา (นับรวมกับคู่สมรส) สินทรัพย์สุทธิ / ส่วนของผู้ถือหุ้น ≥ 70 ล้าน รายได้ต่อปี ≥ 10 ล้าน เงินลงทุนในหลักทรัพย์ ≥ 25 ล้าน ลงทุนในหลักทรัพย์และเงินฝาก ≥ 50 ล้าน นิติบุคคล สินทรัพย์สุทธิ / ส่วนของผู้ถือหุ้น ≥ 200 ล้าน รายได้ต่อปี - เงินลงทุนในหลักทรัพย์ ≥ 40 ล้าน ลงทุนในหลักทรัพย์และเงินฝาก ≥ 80 ล้าน 4. ผู้ลงทุนสถาบัน ตามประกาศของ ก.ล.ต. มีดังนี้ 1) ธนาคารแห่งประเทศไทย 2) ธนาคารพาณิชย์ 3) ธนาคารที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น 4) บริษัทเงินทุน 5) บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ 6) บริษัทหลักทรัพย์ 7) บริษัทประกันวินาศภัย 8) บริษัทประกันชีวิต 9) กองทุนรวม 10) กองทุนส่วนบุคคล 11) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 12) กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ 13) กองทุนประกันสังคม 14) กองทุนการออมแห่งชาติ 15) กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 16) ผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า 17) ผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าสินค้าเกษตร 18) สถาบันการเงินระหว่างประเทศ 19) สถาบันคุ้มครองเงินฝาก 20) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 21) นิติบุคคลประเภทบรรษัท 22) นิติบุคคลซึ่งมีบุคคลตาม (1) ถึง (21) ถือหุ้นรวมกัน >75% ของจำนวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด 23) ผู้ลงทุนต่างประเทศซึ่งมีลักษณะตาม (1) ถึง (22) 24) ผู้จัดการกองทุน และผู้จัดการลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า 25) ผู้ลงทุนอื่นใดตามที่สำนักงานประกาศกำหนด 3.2 กลุ่มผู้ออกตราสารหนี้ 1. กระทรวงการคลัง ผู้ออกตั๋วเงินคลัง, พันธบัตรรัฐบาล 2. ธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้ออกพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย 3. รัฐวิสาหกิจ ผู้ออกพันธบัตรรัฐวิสาหกิจ 4. บริษัทเอกชน ผู้ออกตั๋วแลกเงิน, หุ้นกู้ 3.3 กลุ่มผู้ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขาย 1. ผู้ค้าตราสารหนี้ (Dealer) สถาบันการเงินที่เป็นผู้ซื้อขายตราสารหนี้ในตลาด OTC (สร้างรายได้จากส่วนต่างราคาซื้อขาย) 2. นายหน้าค้าตราสารหนี้ บริษัทที่เป็นนายหน้าหรือตัวแทนซื้อขายตราสารหนี้ (สร้างรายได้จากค่านายหน้า, ค่าธรรมเนียม) 3. ที่ปรึกษาทางการเงิน (Financial Advisor) ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับผู้ที่ต้องการออกตราสารหนี้ในตลาดแรก ในเรื่องต่างๆ เช่น ดอกเบี้ย, อายุตราสารหนี้ และมูลค่าตราสารหนี้ ที่ออกควรเป็นอย่างไร 4. ผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ (Underwriter) ทำหน้าที่จัดจำหน่ายตราสารหนี้ในตลาดแรก ซึ่งรูปแบบการจัดจำหน่ายแบ่งเป็น 3 รูปแบบ ดังนี้ 1) การรับประกันการจัดจำหน่าย (Firm commitment) ผู้จัดจำหน่ายการันตีว่า จะจัดจำหน่ายตราสารหนี้ได้ทั้งหมดในราคา IPO หากไม่สามารถทำได้ผู้จัดจำหน่ายจะรับซื้อหลักทรัพย์ส่วนที่เหลือในราคา IPO 2) การพยายามขายให้ดีที่สุด (Best effort) ผู้จัดจำหน่ายจะพยายามอย่างดีที่ดีสุดเพื่อจำหน่ายตราสารหนี้ให้หมด 3) การรับซื้อหลักทรัพย์ที่เหลือเพื่อขายต่อ (Standby commitment) เป็นการจัดจำหน่ายที่ผู้จัดจำหน่ายให้สิทธิกับผู้ออกตราสารหนี้ ในกรณีที่ตราสารหนี้ไม่สามารถจัดจำหน่ายได้ทั้งหมด ผู้ออกตราสารมีสิทธิที่จะให้ผู้จัดจำหน่ายซื้อตราสารหนี้ส่วนที่เหลือโดยราคารับซื้อจะเป็นที่ต่ำกว่าราคา IPO 3.4 กลุ่มผู้ที่ทำหน้าที่สนับสนุนและดูแลผลประโยชน์ 1. ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ (Bond Holder Representative) สถาบันการเงินที่ทำหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ให้ผู้ถือหุ้นกู้ เช่น การเรียกร้องค่าเสียหายกรณีที่ผู้ออกหุ้นกู้ไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด รวมถึงการผิดนัดชำระหนี้ 2. สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating Agency) เป็นผู้ประเมินอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ และผู้ออกหุ้นกู้ 3. สำนักหักบัญชี (Thailand Clearing Houses : TCH) ทำหน้าที่เป็นคนกลาง (Counter Party) ในการชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ 4. นายทะเบียน (Register) ทำหน้าเก็บข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับตราสารหนี้ เช่น จำนวนตราสารหนี้, ผู้ถือครองของตราสารหนี้, การโอน, การจ่ายดอกเบี้ย * ตราสารหนี้ภาครัฐ มีธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นนายทะเบียน * ตราสารหนี้ภาคเอกชน ผู้ออกตราสารอาจเป็นนายทะเบียนเองหรือแต่งตั้งให้ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (Thailand Securities Depository : TSD) เป็นนายทะเบียน 5. ผู้รับฝากทรัพย์สิน (Custodian) มีหน้าที่ดูแลและเก็บรักษาหลักทรัพย์ 3.5 กลุ่มผู้กำกับดูแล 1. สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีหน้าที่กำกับดูแลและพัฒนาตลาดทุนทั้งตลาดแรกและตลาดรอง ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 1) กำกับดูแลธุรกิจหลักทรัพย์ เช่น การกำหนดให้ผู้ติดต่อกับผู้ลงทุนต้องมี IC License, การที่ต้องขออนุญาต ก.ล.ต. เพื่อประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ 2) กำกับการออกและเสนอขายหลักทรัพย์ เป็นการตรวจสอบความถูกต้องและความพอเพียงของข้อมูล เพื่อให้อนุญาตในการออกและเสนอขาย 3) กำหนดนโยบายและข้อบังคับ ของตลาดทุน 4) ป้องกันความไม่เป็นธรรมในการซื้อขายหลักทรัพย์ ทำหน้าที่พิจารณาข้อร้องเรียน และตรวจสอบการกระทำผิด 2. กระทรวงการคลัง ทำหน้าที่ควบคุมระบบการเงินทั้งระบบ โดยกระจายหน้าที่การควบคุมดูแลไปยังหน่วยงานต่างๆ และเป็นผู้แต่งตั้งสถาบันการเงิน, ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย และประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ 3. ธนาคารแห่งประเทศไทย ทำหน้าที่กำกับดูแลตลาดเงิน, สถาบันการเงิน รวมถึงการให้คำปรึกษาและเป็นตัวแทนในการขายตราสารหนี้ของรัฐบาล ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (กนง.) 7 คน เป็นผู้บริหารของ ธปท. 3 คน และบุคคลภายนอก 4 คน (ผู้ว่า ธปท. เป็นประธาน) ซึ่งคณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ดังนี้ 1) กำหนดเป้าหมายและนโยบายการเงินของประเทศ 2) กำหนดนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน 3) กำหนดมาตรการที่จำเป็นเพื่อสนับสนุนนโยบายข้อ 1) และ 2) 4) ติดตามการดำเนินงานของ ธปท. 4. สมาคมตราสารหนี้ไทย (Thai Bond Market Association: ThaiBMA) เป็นองค์กำกับดูแลตนเอง (Self Regulatory Organization: SRO) ซึ่งมีหน้าที่ดังนี้ 1) กำกับดูแลผู้ค้าตราสารหนี้ ให้ปฏิบัติตามข้อบังคับและจรรยาบรรณ 2) เป็นศูนย์กลางเผยแพร่ข้อมูลตราสารหนี้ของประเทศ เช่น ข้อมูลการซื้อขาย, การขึ้นทะเบียนตราสารหนี้, มูลค่ายุติธรรมของตราสารหนี้, Yield Curve ของพันธบัตร, ดัชนีตราสารหนี้ 3) กำหนดมาตรฐานการซื้อขายและแนวทางปฏิบัติในตลาดรองของตราสารหนี้ เช่น สัญลักษณ์ตราสารหนี้ 4) ให้ความรู้และพัฒนาตลาดตราสารหนี้
1345138.txt
End of preview. Expand in Data Studio
README.md exists but content is empty.
Downloads last month
13