context
stringlengths
295
25.9k
meta
stringlengths
11
11
ตราสารที่เชื่อมโยงกับตราสารทุน 3. ใบสำคัญแสดงสิทธิ (Warrant) 3.1 ความหมายและเงื่อนไขต่างๆ ของ Warrant (วอแรนต์) 1. ความหมายโดยสากล Warrant เป็น Option (ออปชั่น) ประเภทหนึ่ง ที่มีลักษณะเป็นสัญญาที่ให้สิทธิในการซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิง (Underlying Asset) ในระยะเวลาที่กำหนด เช่นเดียวกับ DW โดย Warrant ส่วนใหญ่จะอ้างอิงกับหุ้นสามัญ 2. ความหมายในไทย Warrant เป็นสัญญาที่ให้สิทธิในการจะซื้อหุ้นสามัญอ้างอิง ในระยะเวลาที่กำหนด (ระยะเวลาส่วนใหญี่อยู่ระหว่าง 2 – 10 ปี) โดยผู้ออก Warrant จะเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นั่นเอง โดยเนื้อหาต่อจากนี้จะกล่าวถึง Warrant ไทยเท่านั้น 3. เงื่อนไขที่สำคัญของ Warrant ตัวอย่าง Warrant ที่ให้สิทธิในการซื้อหุ้นสามัญ AAA (AAA-W) 1. หลักทรัพย์อ้างอิง เช่น หุ้นสามัญ AAA คือ Warrant ให้สิทธิในการซื้อหุ้น AAA 2. อัตราการใช้สิทธิ เช่น 1 : 1 คือ Warrant 1 หน่วย มีสิทธิซื้อหุ้นสามัญได้ 1 หุ้น 3. ราคาใช้สิทธิ เช่น 15.00 บาท คือ เงินที่ต้องจ่ายเพื่อใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญ 1 หุ้น 4. กำหนดการใช้สิทธิ เช่น ทุกไตรมาส คือ ใช้สิทธิได้ในเดือน 3, 6, 9, 12 5. วันหมดอายุ เช่น 30 มิ.ย. 2019 คือ สัญญาหมดอายุ และใช้สิทธิได้ครั้งสุดท้าย 3.2 ความแตกต่างระหว่าง DW และ Warrant ประเภทของสิทธิ DW: Call และ Put Warrant (ไทย): Call รูปแบบการใช้สิทธิ DW: European Warrant (ไทย): Pseudo-American อายุของตราสาร DW: ≤ 2 ปี Warrant (ไทย): 2 – 10 ปี ผู้ออกตราสาร DW: ธนาคาร, บล. Warrant (ไทย): บริษัทของหลักทรัพย์อ้างอิง (เช่น ผู้ออก Warrant ที่ให้สิทธิซื้อหุ้น AAA ต้องเป็นบริษัท AAA เท่านั้น) การส่งมอบ DW: Physical, Cash Settlement (ไทย) Warrant (ไทย): Physical กรณีส่งมอบ Physical DW: ใช้หุ้นเดิมในตลาด Warrant (ไทย): บริษัทออกหุ้นใหม่ (การออกหุ้นใหม่ ส่งผลให้เกิด Dilution effect ส่งผลลบต่อราคาหุ้น และ Warrant) Credit Risk DW: มี (เนื่องจากผู้ออกต้องหาหุ้นมาให้ หรือ ต้องชำระส่วนต่างราคา) Warrant (ไทย): ไม่มี (เนื่องจากหุ้นที่ให้ บริษัทสามารถออกหุ้นเพิ่มเองได้) ผู้ดูแลสภาพคล่อง DW: ต้องมี ≥ 1 ราย Warrant (ไทย): ไม่ต้องมี วัตถุประสงค์การออก DW: เป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงิน Warrant (ไทย): ระดมทุน ภาษีเมื่อมีการส่งมอบ DW: มีภาษี Warrant (ไทย): ไม่มีภาษี การปรับสิทธิเมื่อปันผล DW: ปรับทุกกรณี Warrant (ไทย): ปรับเมื่อปันผล > อัตราที่ผู้ออกกำหนด การได้มาของตราสารในครั้งแรก DW: ได้จากผู้ออกด้วยวิธี Direct Listing (Direct Listing เป็นวิธีการซื้อขายโดยการนำ DW เข้าตลาดหลักทรัพย์ และซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่ครั้งแรก (ไม่มีการจองซื้อก่อนเข้าตลาด)) Warrant (ไทย): - ให้ผู้ถือหุ้นเดิม (เช่น บริษัท AAA แจก Warrant ให้กับผู้ถือที่หุ้น AAA) โดยอาจแจกฟรีหรือขาย - ขายให้ผู้ลงทุนทั่วไป อัตราส่วนที่ใช้วิเคราะห์ DW: มีทั้ง Call DW และ Put DW Warrant (ไทย): เหมือน Call DW การประเมินมูลค่า DW: มีทั้ง Call DW และ Put DW Warrant (ไทย): เหมือน Call DW 3.3 กลยุทธ์พื้นฐานของการลงทุนใน Warrant 1. ซื้อ Warrant แล้วใช้สิทธิซื้อสินทรัพย์อ้างอิง เป็นการซื้อ Warrant (ซื้อสิทธิที่จะซื้อหุ้น) โดยมีความตั้งใจและเตรียมเงินทุนไว้สำหรับการใช้สิทธิซื้อหุ้นในอนาคต เช่น ผู้ลงทุนมีเงิน 1 ล้านบาท และซื้อ Warrant 1 แสนบาท และเตรียมเงิน 9 แสนไว้เพื่อใช้สิทธิซื้อหุ้น 2. เก็งกำไรจากการซื้อแล้วขายเมื่อราคา Warrant ปรับตัวสูงขึ้น เป็นการซื้อ Warrant (ซื้อสิทธิที่จะซื้อหุ้น) โดยไม่มีความตั้งใจและการเตรียมเงินเพื่อจะใช้สิทธิซื้อหุ้นในอนาคต เช่น ผู้ลงทุนมีเงิน 1 ล้านบาท และซื้อ Warrant ทั้งหมด 1 ล้านบาท ทั้งนี้ ที่ผู้ลงทุนเลือกซื้อ Warrant แทนสินทรัพย์อ้างอิง เนื่องจาก Warrant มีความผันผวนของราคามากกว่า และผู้ลงทุนเชื่อว่าราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นในกรณีที่สินทรัพย์อ้างอิงปรับตัวขึ้น Warrant จะปรับตัวขึ้นมากกว่า และอาจทำกำไรหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ (ไม่มีเพดานของกำไร) ขณะที่หากราคาสินทรัพย์อ้างอิงปรับตัวลดลง Warrant จะปรับตัวลดลงมากกว่าเช่นกัน แต่การขาดทุนจะไม่เกิน -100% ของเงินลงทุนใน Warrant นั่นเอง
1345177.txt
การวิเคราะห์และกลยุทธ์การลงทุนในกองทุนรวม 1. การพิจารณาเลือกกองทุนรวม เพื่อให้ได้กองทุนรวมที่เหมาะสมกับผู้ลงทุนและจังหวะในการลงทุนนั้น จะต้องวิเคราะห์ทั้งตัวผู้ลงทุน, ข้อมูลกองทุน และสภาพแวดล้อมการลงทุน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 1.1 การวิเคราะห์ผู้ลงทุน 1. เป้าหมาย เช่น การลงทุนเพื่อเป็นเงินทุนยามเกษียณ, สร้างกระแสเงินสดหลังเกษียณ, การลงทุนเพื่อการศึกษาบุตร 2. วัตถุประสงค์การลงทุน/รูปแบบผลตอบแทนที่ต้องการ เมื่อได้เป้าหมายการลงทุน จะสามารถกำหนดวัตถุประสงค์การลงทุนและกองทุนรวมที่เหมาะสม เช่น ตัวอย่างที่ 1 เป้าหมาย: เก็บเงินเพื่อเกษียณในอีก 30 ปี วัตถุประสงค์การลงทุน/รูปแบบผลตอบแทน: เน้นการเติบโตของเงินทุน (Capital appreciation) กองทุนที่เหมาะสม: ควรเน้นลงทุนกองทุนหุ้นที่ไม่มีนโยบายการจ่ายเงินปันผล ตัวอย่างที่ 2 เป้าหมาย: สร้างกระแสเงินสดหลังเกษียณ วัตถุประสงค์การลงทุน/รูปแบบผลตอบแทน: เน้นรายได้ประจำจากการลงทุน (Current Income) กองทุนที่เหมาะสม: ควรเน้นลงทุนกองทุนที่มีความผันผวนต่ำ และมีนโยบายการจ่ายเงินปันผล เช่น กองทุนรวมตราสารหนี้, กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์, REITs 3. ระดับความเสี่ยงที่รับได้ เพื่อเลือกกองทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงของผู้ลงทุน 4. ความรู้เกี่ยวกับกองทุนรวม ความรู้ที่ดีจะช่วยให้ลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น สามารถลงทุนในสินทรัพย์ได้หลากหลายประเภท ทั้งในและต่างประเทศ 5. ข้อจำกัดและเงื่อนไขในการลงทุน เช่น ระยะเวลาลงทุน, ความต้องการลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี 6. อื่นๆ เช่น แหล่งที่มาของเงินลงทุน, ความมั่นคงของรายได้, อัตราผลตอบแทนคาดหวัง ทั้งนี้ก่อนที่ผู้ลงทุนจะลงทุนในกองทุนรวมครั้งแรก บลจ. จะให้ผู้ลงทุนทำแบบประเมินตนเองเพื่อศึกษาข้อมูลผู้ลงทุน เพื่อให้คำแนะนำการลงทุนที่เหมาะสมกับผู้ลงทุนได้มากยิ่งขึ้น 1.2 การวิเคราะห์กองทุนรวม 1. นโยบายการลงทุนและสินทรัพย์ที่ลงทุน เป็นการวิเคราะห์ว่าสิ่งที่กองทุนลงทุนเหมาะสมกับผู้ลงทุนหรือไม่ 2. ลักษณะเฉพาะของสินทรัพย์ เป็นการวิเคราะห์ลักษณะเฉพาะของแต่ละสินทรัพย์ * หุ้นใหญ่/หุ้นเล็ก หุ้นใหญ่ในระยะยาวมักให้ผลตอบแทนต่ำกว่าหุ้นเล็ก แต่มักมีความเสี่ยงต่ำกว่าเช่นกัน * ตราสารหนี้ ตราสารหนี้แต่ละประเภทมีความเสี่ยงที่ต่างกัน * REITs / กองทุนรวมอสังหาฯ กองทุนรวมอสังหาฯ ที่มีรายได้แน่นอนจะมีความเสี่ยงกว่าที่มีรายได้ไม่แน่นอน เช่น กองทุนรวมอสังหาฯ ที่ลงทุนในห้างสรรพสินค้าหรืออาคารสำนักงานซึ่งมีสัญญาเช่าระยะยาวจะมีความเสี่ยงต่ำกว่ากองทุนรวมอสังหาฯที่ลงทุนในโรงแรม ซึ่งรายได้ขึ้นอยู่กับผู้เข้าพักในแต่ละวัน 3. ผลการดำเนินงานในอดีต เป็นการวิเคราะห์ทั้งอัตราผลตอบแทนและความเสี่ยงในอดีต เพื่อวิเคราะห์ความสามารถในการบริหารกองทุน และคาดการณ์ความสามารถในการบริหารกองทุนในอนาคต 4. ระดับความเสี่ยงกองทุน เป็นการวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านต่างๆ ของกองทุน 5. ขนาดกองทุน กองทุนขนาดเล็กจะมีสภาพคล่องน้อยกว่ากองทุนขนาดใหญ่ 6. กลยุทธ์บริหารกองทุน เป็นการวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียของการบริหารเชิงรุกและเชิงรับ 7. ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้ 1) ค่าใช้จ่ายที่เก็บจากผู้ลงทุน คือ ค่าใช้จ่ายที่ บลจ. เก็บจากผู้ลงทุนโดยตรงเมื่อมีการซื้อ/ขาย/สับเปลี่ยนหน่วยลงทุน โดยคิดเป็น % ของจำนวนเงินที่ซื้อ/ขาย/สับเปลี่ยน ในแต่ละครั้ง * ค่าธรรมเนียมในขาย (Front End Fee) คือ ค่าธรรมเนียมที่กองทุนเรียกเก็บเมื่อขายกองทุนให้กับผู้ลงทุน (ผู้ลงทุนจ่ายเมื่อซื้อกองทุน) โดยค่าธรรมเนียมนี้จะสะท้อนอยู่ในราคาขายหน่วยลงทุน * ค่าธรรมเนียมรับซื้อคืน (Back End Fee) คือ ค่าธรรมเนียมที่กองทุนเรียกเก็บเมื่อรับซื้อกองทุนคืนจากผู้ลงทุน (ผู้ลงทุนจ่ายเมื่อขายกองทุน) โดยค่าธรรมเนียมนี้จะสะท้อนอยู่ในราคารับซื้อคืนหน่วยลงทุน * ค่าธรรมเนียมการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน (Switching Fee) คือ ค่าธรรมเนียมที่กองทุนเรียกเก็บเมื่อผู้ลงทุนสับเปลี่ยนกองทุนจากกองทุนหนึ่งไปอีกกองทุนหนึ่ง ซึ่งแบ่งย่อยได้ดังนี้ - ค่าธรรมเนียมการสับเปลี่ยนออก คือ ค่าธรรมเนียมที่กองทุนเรียกเก็บเมื่อผู้ลงทุนสับเปลี่ยนออกจากกองทุน - ค่าธรรมเนียมการสับเปลี่ยนเข้า คือ ค่าธรรมเนียมที่กองทุนเรียกเก็บเมื่อผู้ลงทุนสับเปลี่ยนเข้ามายังกองทุน 2) ค่าใช้จ่ายที่เก็บจากกองทุน คือ ค่าใช้จ่ายที่ บลจ. ทยอยเก็บจากกองทุนทุกวัน โดยคิดเป็น % ของมูลค่ากองทุนในแต่ละวัน ซึ่งการเก็บจากกองทุนนี้จะทำให้มูลค่ากองทุนลดลง และทำให้ผู้ถือหน่วยลงทุนได้รับผลตอบแทนลดลง * ค่าธรรมเนียนการบริหารจัดการ (Management Fee) บลจ. เก็บจากผู้ถือหน่วย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุน ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายหลักที่เก็บจากกองทุน * ค่าธรรมเนียมผู้ดูแลผลประโยชน์ (Trustee Fee) บลจ. เก็บจากผู้ถือหน่วย เพื่อนำไปจ่ายให้กับผู้ดูแลผลประโยชน์ของกองทุน * ค่าธรรมเนียมนายทะเบียน (Registrar Fee) บลจ. เก็บจากผู้ถือหน่วย เพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับนายทะเบียน * ค่าธรรมเนียนด้านการตลาด (Marketing Fee) บลจ. เก็บจากผู้ถือหน่วย เพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายด้านการตลาด การโฆษณากองทุน * ค่าตรวจสอบบัญชี (Audit Fee) บลจ. เก็บจากผู้ถือหน่วย เพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบบัญชีของกองทุน * ค่าใช้จ่ายรวม (Total Expense Ratio) คือ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เก็บจากกองทุน 1.3 สภาพแวดล้อมการลงทุน เมื่อผู้ลงทุนวิเคราะห์ตนเองและกองทุนรวมแล้วสิ่งที่สำคัญต่อมา คือ จังหวะในการลงทุน ดังนั้นผู้ลงทุนต้องวิเคราะห์สภาพแวดล้อมในการลงทุน เช่น ภาวะเศรษฐกิจ, แนวโน้มอัตราดอกเบี้ย, อัตราเงินเฟ้อ, โครงสร้างประชากร และปัจจัยอื่นๆ เพื่อวิเคราะห์ว่า ภายใต้สภาพแวดล้อมปัจจุบันตนเองควรลงทุนในกองทุนประเภทใด
1345155.txt
การประเมินมูลค่าหุ้นสามัญ 3. การประเมินมูลค่าแบบ Absolute Valuation เป็นการประเมินมูลค่าจากสินทรัพย์หรือกระแสเงินสดของกิจการ 3.1 Asset Based Approach เป็นการประเมินมูลค่าของหุ้นจากสินทรัพย์ของบริษัท ซึ่งสามารถแบ่งย่อยได้อีก 4 วิธี ดังนี้ 1. Book Value (มูลค่าตามบัญชี) คือ มูลค่าสินทรัพย์สุทธิทางบัญชี (หากพิจารณาจากสมการจะพบว่ามูลค่าตามบัญชี (Book Value) เท่ากับ ส่วนของเจ้าของในงบดุลนั่นเอง) แม้ว่าวิธีการนี้จะเป็นวิธีที่ง่าย เนื่องจากมูลค่าของสินทรัพย์และหนี้สิน มีระบุไว้ในงบการเงินแล้ว อย่างไรก็ตามข้อเสียที่สำคัญของวิธีนี้ คือ สินทรัพย์ที่บันทึกในบัญชีนั้นอาจไม่เท่ากับราคาตลาด เช่น บริษัทอาจบันทึกราคาที่ดิน 10 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาที่ซื้อมาเมื่อ 10 ปีแล้ว 2. Net Asset Value (มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ) คือ มูลค่าสินทรัพย์สุทธิตามมูลค่าตลาด ซึ่งเป็นหามูลค่าสินทรัพย์สุทธิโดยการใช้สินทรัพย์ตามราคาตลาด เพื่อแก้ไขจุดบกพร่องของ Book Value 3. Replacement Value (มูลค่าทดแทน) เป็นวิธีที่พิจารณาว่า “ถ้ามีการสร้างบริษัทที่คล้ายคลึงกับบริษัทที่กำลังประเมินมูลค่า จะต้องใช้จำนวนเงินเท่าไร” ซึ่งอาจต้องคำนึงถึง สินทรัพย์ตามราคาตลาด, ค่าใช้จ่ายในการเตรียมให้สินทรัพย์ใช้งานได้ (เช่น ค่าติดตั้งเครื่องจักร) 4. Liquidation Value (มูลค่าที่ขายทอดตลาดได้) วิธีนี้จะปรับสินทรัพย์ให้เป็นมูลค่าที่คิดว่าจะขายได้หากเลิกกิจการและหักด้วยหนี้สิน โดย Liquidation Value จะไม่รวมสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน และเป็นวิธีที่มักใช้ประเมินมูลค่าบริษัทที่กำลังจะล้มละลาย 3.2 Cash Flow Based Approach (Income Based Approach) เป็นวิธีการประเมินมูลค่าแท้จริงซึ่งนำหลักการมูลค่าเงินตามเวลา (Time Value of Money) มาใช้ โดยการคาดการณ์ถึงกระแสเงินสดในอนาคตที่ผู้ลงทุนได้รับจากการลงทุน และนำมาคิดลดด้วยอัตราคิดลด (Discount Rate) ให้เป็นมูลค่าในปัจจุบันโดยการประเมินมูลค่านั้นจะประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ 1. คาดการณ์กระแสเงินสดแต่ละปี (รวมถึงคาดการณ์ราคาขายกรณีกำหนดระยะเวลาถือครองหุ้น) 2. คิดลด (Discount) เงินกระแสเงินสดและราคาขายที่ได้รับในอนาคตกลับมาเป็นมูลค่าปัจจุบัน 3. นำมูลค่าปัจจุบันทั้งหมดมารวมกัน โดยรูปแบบของกระแสเงินสด (Cash Flow : CF) แบ่งเป็น 3 รูปแบบ 1. เงินปันผล 2. กระแสเงินสดอิสระของกิจการ 3. กระแสเงินสดอิสระของผู้ถือหุ้น 1. วิธีคิดลดเงินปันผล (Dividend Discount Model :DDM) เป็นการประเมินมูลค่า โดยการใช้ผลรวมของเงินปันผลในอนาคต มาคิดลดด้วยอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำที่ต้องการจากการลงทุนในหุ้น (k) 1) การประเมินมูลค่าด้วยวิธีคิดลดเงินปันผล การคำนวณจะประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ 1. คาดการณ์เงินปันผลแต่ละปี (รวมถึงคาดการณ์ราคาขายกรณีกำหนดระยะเวลาถือครองหุ้น) 2. คิดลด (Discount) เงินปันผลและราคาขายที่ได้รับในอนาคตกลับมาเป็นมูลค่าปัจจุบัน 3. นำมูลค่าปัจจุบันทั้งหมดมารวมกัน ทั้งนี้การคำนวณ DDM มี 2 กรณีใหญ่ๆ คือ กรณีกำหนดระยะเวลาถือหุ้น และกรณีไม่กำหนดระยะเวลาถือหุ้น - กรณีไม่กำหนดระยะเวลาการถือครองหุ้นและปันผลคงที่ทุกงวด (Zero Growth Dividend) ในกรณีนี้เงินปันผลที่คาดว่าจะได้รับจะเท่าเดิมไปตลอด โดยทั่วไปการคำนวณวิธีนี้จะประยุกต์ใช้กับการประเมินมูลค่าหุ้นบุริมสิทธิ ซึ่งให้ปันผลคงที่นั่นเอง - กรณีไม่กำหนดระยะเวลาการถือครองหุ้นและปันผลมีอัตราเพิ่มขึ้นเท่ากันทุกงวด (Constant growth) กรณีนี้มักประยุกต์ใช้กับหุ้นสามัญของบริษัทที่อยู่ในช่วงระยะอิ่มตัวแล้ว (กรณีที่บริษัทเข้าสู่ระยะอิ่มตัวแล้ว นักวิเคราะห์มักคาดการณ์ว่า อัตราการเติบโตและเงินปันผลของกิจการ จะใกล้เคียงกับอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ (GDP) ของประเทศ) - กรณีไม่กำหนดระยะเวลาการถือครองหุ้นและปันผลมีอัตราเพิ่มขึ้นไม่เท่ากันทุกงวด (Non constant growth) กรณีนี้มักประยุกต์ใช้กับหุ้นสามัญของบริษัทที่อัตราการเติบโตของปันผลไม่เท่ากัน 2. วิธีคิดลดกระแสเงินสดอิสระของกิจการ (Discounted Free Cash Flow to Firm) เป็นการประเมินมูลค่า โดยการใช้ผลรวมของเงินกระแสเงินสดอิสระของกิจการในอนาคตที่คิดลดด้วยต้นทุนของเงินทุนกิจการ (Weighted Average Cost of Capital : WACC) ทั้งนี้เงินกระแสเงินสดอิสระของกิจการ คือ กำไรที่อยู่ในรูปของเงินสดที่หักกระแสเงินสดรับและจ่ายในการทำธุรกิจ (เงินสดจากการซื้อและขายวัสดุอุปกรณ์ และเครื่องจักร) ทั้งหมดออกแล้ว ดังนั้นกระแสเงินสดอิสระของกิจการจะเป็นเงินสดที่สามารถจ่ายเป็นผลตอบแทนคืนให้กับทั้งเจ้าหนี้และผู้ลงทุนในตราสารทุน และมูลค่าที่ประเมินได้จะเป็นมูลค่าของกิจการไม่ใช่มูลค่าของหุ้น (หากต้องการหามูลค่าของหุ้นต้องนำมูลค่าของกิจการมาลบด้วยหนี้สินของกิจการ) การประเมินมูลค่าวิธีนี้จึงสามารถเปรียบเทียบมูลค่าของกิจการระหว่างกิจการที่มีโครงการเงินทุนที่ต่างกันได้ 3. วิธีคิดลดกระแสเงินสดอิสระของผู้ถือหุ้น (Discounted Free Cash Flow to Equity) เป็นการประเมินมูลค่า โดยการใช้ผลรวมของเงินกระแสเงินสดอิสระของผู้ถือหุ้นในอนาคตที่คิดลดด้วยต้นทุนของของส่วนของเจ้าของ (Cost of Equity) (โดยทั่วไปแล้ว อัตราผลตอบแทนขั้นต่ำที่ต้องการจากการถือหุ้น (เป็นมุมมองผู้ลงทุน) จะเท่ากับ ต้นทุนของส่วนของเจ้าของ (เป็นมุมมองเจ้าของกิจการ)) ทั้งนี้เงินกระแสเงินสดอิสระของผู้ถือหุ้น คือ กำไรที่อยู่ในรูปของเงินสดที่หักกระแสเงินสดรับและจ่ายในการทำธุรกิจ (เช่น เงินลงทุนในวัสดุอุปกรณ์ และเครื่องจักร) รวมถึงกระแสเงินสดรับและจ่ายจากหนี้สิน (รับจากกู้เพิ่มและจ่ายจากจ่ายคืนหนี้) ทั้งหมดออกแล้ว ดังนั้นกระแสเงินสดอิสระของผู้ถือหุ้นจะเป็นเงินสดที่สามารถจ่ายเป็นผลตอบแทนคืนให้ผู้ลงทุนในตราสารทุน และมูลค่าที่ประเมินได้จะเป็นมูลค่าของหุ้นนั่นเอง 3.3. ปัจจัยที่มีผลต่อมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น จากการประเมินมูลค่าแท้จริงของหุ้นด้วยวิธี Absolute Valuation จะเห็นได้ว่าปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อมูลค่าของหุ้นมีดังนี้ 1. มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ เห็นได้ชัดจากการประเมินมูลค่าแบบ Asset Based Approach ที่มูลค่าสินทรัพย์สุทธิจะเป็นตัวกำหนดมูลค่าของหุ้น นอกจากนี้สินทรัพย์ (เช่น สินค้า, วัตถุดิบ, เครื่องจักร) ยังเป็นเครื่องมือในการสร้างรายได้ให้กิจการอีกด้วย 2. ความสามารถในการทำกำไร เป็นตัวกำหนดกระแสเงินสดของกิจการ ไม่ว่าจะเป็นเงินปันผลหรือกระแสเงินสดอิสระ 3. อัตราคิดลด คือ อัตราที่ผู้ลงทุนใช้ในการคิดลดกระแสเงินสดในอนาคต ให้อยู่ในรูปของมูลค่าปัจจุบัน โดยอัตราคิดลดที่สูงจะทำให้มูลค่าแท้จริงของหุ้นลดลง
1345150.txt
ผลตอบแทนและความเสี่ยงของกองทุนรวม 1. ภาพรวมของผลตอบแทนและความเสี่ยงของกองทุนรวม เนื่องจากกองทุนรวมเป็นการระดมเงินจากผู้ลงทุนไปลงทุนในสินทรัพย์ตามนโยบายการลงทุน ดังนั้นผลตอบแทนและความเสี่ยงขึ้นอยู่กับสินทรัพย์ที่ไปลงทุน แต่ความเสี่ยงจากการลงทุนผ่านกองทุนรวมอาจต่ำกว่าการลงทุนตรงด้วยตนเอง เนื่องจากกองทุนมีผู้จัดการกองทุนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญช่วยบริหาร มีระบบในการเข้าถึงข้อมูล และความสามารถในการกระจายความเสี่ยงที่ดีเนื่องจากเงินมีลงทุนก้อนใหญ่ที่ได้จากการระดมทุนจากผู้ลงทุนหลายๆ คน
1345199.txt
ประเภทของธุรกิจและที่มาของเงินทุนในการทำธุรกิจ 5. ความเสี่ยงของตราสารทุน 5.1 ความเสี่ยงต่อผลการดำเนินงาน (กำไร) ของกิจการ เมื่อกิจการมีผลกำไรที่ลดลง หรือ ต่ำกว่าที่ผู้ลงทุนส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ ราคาของหุ้นก็มักปรับตัวลดลง ซึ่งความเสี่ยงที่จะกระทบต่อผลการดำเนินงานมีดังนี้ 1. ความเสี่ยงทางธุรกิจ (Business Risk) คือ ความเสี่ยงจากการดำเนินธุรกิจ เช่น การแข่งขันของอุตสาหกรรม, นโยบายการทำธุรกิจของบริษัท, ความเสี่ยงในการทำโครงการต่างๆ 2. ความเสี่ยงทางการเงิน (Financial Risk) คือ ความเสี่ยงจากโครงสร้างการเงินของบริษัท (โครงสร้างทางการเงินของบริษัท หมายถึงแหล่งที่มาของเงินทุนในการทำธุรกิจ ซึ่งโดยทั่วไปจะมาจาก 2 แหล่งคือ 1. เงินทุนเจ้าของและกำไรสะสม 2. การกู้ยืม) กล่าวคือ การที่บริษัทมีหนี้สินมากก็จะมีความเสี่ยงทางการเงินมาก 3. ความเสี่ยงจากปัจจัยมหภาค (Macro Factor) คือ ความเสี่ยงที่เกิดจากปัจจัยภายนอกของธุรกิจ เช่น ความมั่นคงทางการเมืองและนโยบายทางการเมือง, อัตราเงินเฟ้อ, อัตราดอกเบี้ย 5.2 ความเสี่ยงต่อระดับความต้องของการลงทุนในตราสารทุน เมื่อความต้องการลงทุนในตราสารทุนลดลง ราคาของหุ้นก็มักปรับตัวลดลง ซึ่งความเสี่ยงที่จะกระทบต่อความต้องการลงทุนในตราสารทุนมีดังนี้ 1. สภาพคล่องของหลักทรัพย์ ผู้ลงทุนชอบหลักทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง เนื่องจากสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนมือได้เร็ว 2. อัตราดอกเบี้ย การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยทำให้ผู้ลงทุนหันไปลงทุนในตราสารหนี้มากขึ้น 3. เงินเฟ้อ เงินเฟ้อที่สูงขึ้น ทำให้ผู้ลงทุนต้องการผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงขึ้น (ต้องการซื้อตราสารทุนในราคาที่ถูกลง) เพื่อชดเชยกับเงินเฟ้อ เพิ่มเติม * จะเห็นได้ว่าบางปัจจัย เช่น อัตราดอกเบี้ย และเงินเฟ้อ จะกระทบทั้งกำไรของกิจการและระดับความต้องการของการลงทุนในตราสารทุน
1345197.txt
ความรู้พื้นฐานของตราสารหนี้ 2. ความแตกต่างของตราสารทุนและตราสารหนี้ ตราสารทุน ลักษณะผลตอบแทน: เงินปันผล สถานะผู้ลงทุน: เจ้าของ ระดับความเสี่ยง: สูง ระยะเวลา (อายุ): ไม่มีกำหนด สภาพคล่อง: สูง สิทธิการเรียกร้อง: เมื่อผู้ออกตราสารล้มละลาย เงินที่ได้รับจากการขายสินทรัพย์จะนำมาชำระหนี้คืนให้ผู้ถือตราสารหนี้ก่อนผู้ถือตราสารทุน ตราสารหนี้ ลักษณะผลตอบแทน: ดอกเบี้ย สถานะผู้ลงทุน: เจ้าหนี้ ระดับความเสี่ยง: ต่ำ ระยะเวลา (อายุ): มีกำหนดอายุแน่นอน (ตราสารหนี้ทั่วไปจะกำหนดระยะเวลาไว้ชัดเจน ยกเว้นตราสารหนี้ประเภท Perpetual Bond ซึ่งเป็นตราสารหนี้ที่ไม่กำหนดระยะเวลา) สภาพคล่อง: ต่ำ สิทธิการเรียกร้อง: เมื่อผู้ออกตราสารล้มละลาย เงินที่ได้รับจากการขายสินทรัพย์จะนำมาชำระหนี้คืนให้ผู้ถือตราสารหนี้ก่อนผู้ถือตราสารทุน
1345170.txt
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 1. ระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 1.1 พัฒนาการของระบบการซื้อขาย * 30 เม.ย. 2518: ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเปิดซื้อขายครั้งแรก โดยใช้ระบบการซื้อขายแบบประมูลอย่างเปิดเผยด้วยวิธีการเคาะกระดานในห้องค้าหลักทรัพย์ * 31 พ.ค. 2534: ใช้ระบบ ASSET (Automatic System for the Stock Exchange of Thailand) * ส.ค. 2551: ใช้ระบบ ARMS (Advanced Resilience Matching System) * 3 ก.ย. 2555: ใช้ระบบ SET CONNECT 1.2 ระบบการซื้อขายหลักทรัพย์ SET Connect SET Connect เป็นระบบการซื้อขายที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมมือกับบริษัท Cinnober Finance Technology AB ในการพัฒนาระบบ ซึ่งระบบมีจุดเด่นดังนี้ 1. มีความน่าเชื่อถือระดับสากล มีการเชื่อมต่อที่เป็นมาตรฐานสากล (FIX Protocol) และสามารถรับส่งข้อมูลเชื่อมต่อกับตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ รวมถึงมีระบบสำรองในทุกๆ ด้าน ในกรณีที่ระบบหลักขัดข้อง 2. รองรับปริมาณการซื้อขายได้จำนวนมาก
1345181.txt
การประเมินมูลค่าหุ้นสามัญ 2. วิธีการประเมินมูลค่าหุ้นสามัญ แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบใหญ่ๆ คือ 1. Absolute Valuation ซึ่งเป็นการประเมินมูลค่าโดยวัดจากสินทรัพย์หรือความสามารถในการทำกำไรจากตัวบริษัทเอง 2. Relative Valuation เป็นการประเมินมูลค่าโดยใช้วิธีการเปรียบเทียบอัตราส่วนทางการเงินกับบริษัทอื่นที่มีลักษณะของธุรกิจคล้ายคลึงกัน หรืออาจเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม
1345149.txt
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 5. การหยุดการซื้อขายชั่วคราว (Circuit breaker) และเครื่องหมายต่างๆ บนกระดานหลักทรัพย์ 5.1 การหยุดการซื้อขายชั่วคราว (Circuit breaker) เนื่องจากการลดลงของ SET Index ที่รุนแรงอาจมีผลให้ผู้ลงทุนตื่นตระหนก และเทขายหุ้นอย่างขาดสติ ดังนั้นตลาดจึงทำการปิดชั่วคราวเพื่อให้ผู้ลงทุนตั้งสติ โดยการหยุดการซื้อขายชั่วคราว มีเกณฑ์ดังนี้ * การหยุดครั้งที่ 1 เมื่อ SET Index ลดลงถึง 10% โดยหยุดการซื้อขาย 30 นาที * การหยุดครั้งที่ 2 เมื่อ SET Index ลดลงถึง 20% (ลดลงอีก 10%) โดยหยุดการซื้อขาย1 ชั่วโมง ทั้งนี้หากเวลาซื้อขายในรอบเวลานั้น (รอบเวลาซื้อขายช่วงเช้า/รอบเวลาซื้อขายช่วงบ่าย) เหลือน้อยกว่า 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง ให้หยุดพักการซื้อขายแค่ระยะเวลาที่เหลือ และเปิดการซื้อขายปกติในรอบการซื้อขายถัดไป 5.2 เครื่องหมายต่างๆ และหลักเกณฑ์การขึ้นเครื่องหมายบนกระดานหลักทรัพย์ 1. เครื่องหมายต่างๆ บนกระดานหลักทรัพย์ คือ เครื่องหมายแจ้งผู้ลงทุนให้ทราบถึงสถานการณ์พิเศษที่อาจส่งผลกระทบต่อหลักทรัพย์ สรุปเครื่องหมาย XD (Excluding Dividend) ผู้ซื้อหลักทรัพย์จะไม่มีสิทธิได้เงินปันผล XR (Excluding Right) ผู้ซื้อหลักทรัพย์จะไม่มีสิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน XW (Excluding Warrants) ผู้ซื้อหลักทรัพย์จะไม่มีสิทธิได้รับ Warrant XT (Excluding TSR) ผู้ซื้อหลักทรัพย์จะไม่มีสิทธิได้รับ TSR XE (Excluding Exercise) ผู้ซื้อ Warrant จะไม่มีสิทธิในการซื้อสินทรัพย์อ้างอิง XM (Excluding Meeting) ผู้ซื้อหลักทรัพย์จะไม่มีสิทธิเข้าร่วมการประชุมผู้ถือหุ้น XN (Excluding Capital Return) ผู้ซื้อหลักทรัพย์จะไม่มีสิทธิรับเงินคืนจากการลดทุนจดทะเบียน XB (Excluding Other Benefit) ผู้ซื้อหลักทรัพย์จะไม่มีสิทธิจองซื้อหุ้นออกใหม่ XA (Excluding All) ผู้ซื้อหลักทรัพย์จะไม่มีสิทธิทุกสิทธิประโยชน์ NP (Notice Pending) บริษัทจดทะเบียนไม่ส่งงบการเงินหรือรายงานตามกำหนด NR (Notice Received) บริษัทที่ขึ้น NP ส่งงบการเงินหรือรายงานแล้ว NC (Non-Compliance) บริษัทจดทะเบียนเข้าข่ายถูกเพิกถอน H (Halt) หยุดการซื้อขายชั่วคราวไม่เกิน 1 รอบการซื้อขายของตลาด SP (Suspending) หยุดการซื้อขายชั่วคราวเกิน 1 รอบการซื้อขายของตลาด ST (Stabilization) บริษัทจดทะเบียนมีการซื้อหลักทรัพย์เพื่อส่งมอบหลักทรัพย์ที่จัดสรรเกิน สำคัญ ผู้ที่ลงทุนในวันที่ขึ้นเครื่องหมายจะไม่ได้รับสิทธินั้น เช่น ลงทุนในวันที่ขึ้นเครื่องหมาย XD จะไม่ได้รับเงินปันผลและ หากต้องการปันผลต้องลงทุนก่อนขึ้นเครื่องหมาย XD อย่างน้อย 1 วันทำการ 2. หลักเกณฑ์การขึ้นเครื่องหมาย H และ SP 1) H (Halt) เครื่องหมายหยุดการซื้อขายชั่วคราวไม่เกิน 1 รอบการซื้อขายของตลาด มีหลักเกณฑ์ในการขึ้นเครื่องหมายดังนี้ * บริษัทมีข้อมูลสำคัญที่ยังไม่รายงานตลาดหลักทรัพย ซึ่งข้อมูลดังกล่าวอาจมีผลกระทบกับผู้ถือหุ้นรวมทั้งการตัดสินใจลงทุน * หลักทรัพย์มีภาวการณ์ซื้อขายที่น่าสงสัยว่ามีผู้ลงทุนบางกลุ่มทราบข้อมูลสำคัญ * บริษัทร้องขอให้ตลาดหยุดการซื้อขายชั่วคราว เพื่อรอให้บริษัทเปิดเผยข้อมูลสำคัญ * เหตุอื่นๆ ที่อาจมีผลกระทบรุนแรงต่อหลักทรัพย์ 2) SP (Suspension) เครื่องหมายหยุดการซื้อขายชั่วคราวเกิน 1 รอบการซื้อขายของตลาด มีหลักเกณฑ์ในการขึ้นเครื่องหมายดังนี้ * เมื่อขึ้นเครื่องหมาย H แล้วแต่บริษัทไม่สามารถให้ข้อมูลกับตลาดฯ ได้ในทันที * บริษัทไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ * บริษัทไม่ส่งงบการเงินภายในเวลาที่ตลาดฯ กำหนด * หลักทรัพย์อยู่ระหว่างการพิจารณาเพิกถอนออกจากตลาดฯ * หลักทรัพย์อยู่ระหว่างการพิจารณาให้พ้นจากการเข้าข่ายถูกเพิกถอน * หลักทรัพย์ (เช่น Warrant) จะครบกำหนดสัญญา * มีเหตุการณ์ร้ายแรงที่อาจจะส่งร้ายแรงต่อการซื้อขายหลักทรัพย์
1345185.txt
ผลตอบแทนและความเสี่ยงของกองทุนรวม 4. การวัดผลการดำเนินงานของกองทุนรวม นอกจากการเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนและความเสี่ยงของกองทุนแล้ว เครื่องมือการวัดที่เรามักนำมาใช้ คือ อัตราผลตอบแทนที่ปรับด้วยความเสี่ยง (Risk-Adjusted Return) ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 4.1 อัตราผลตอบแทนที่ปรับด้วยความเสี่ยง (Risk-Adjusted Return) คือ อัตราส่วนที่คำนวณหาความคุ้มค่าของผลตอบแทนเทียบกับความเสี่ยง โดยอัตราส่วนที่นิยมใช้กับกองทุนรวมมีดังนี้ 1. Sharpe Ratio1 เป็นการวัดอัตราผลตอบแทนส่วนเกิน (excess return) เทียบกับความเสี่ยงรวมของกลุ่มหลักทรัพย์ที่ลงทุน (δp) 2. Tracking Error (TE) หรือ Active Risk คือ การวัดระดับความเบี่ยงเบนของอัตราผลตอบแทนกองทุน (Rp) จากเกณฑ์มาตรฐาน (Rb) โดย TE สามารถคำนวณได้โดยใช้ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนกองทุนกับเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งมีสูตรดังนี้ * TE ที่สูง แสดงถึงระดับความเบี่ยงเบนของอัตราผลตอบแทนกองทุนจากเกณฑ์มาตรฐานสูง ซึ่งเป็นผลมาจากการตัดสินในลงทุนของผู้จัดการกองทุนที่มีความต่างจากเกณฑ์มาตรฐานหรือดัชนีอย่างมาก ดังนั้นค่า TE สามารถแสดงถึงระดับของการบริหารแบบเชิงรุก (Active Management) ได้นั่นเอง * TE ที่ต่ำ แสดงถึงระดับความเบี่ยงเบนที่น้อย ในการเลือกลงทุนในกองทุนรวมที่มีการบริหารแบบเชิงรับ ผู้ลงทุนมักพยายามเลือกกองทุนที่มีค่า TE ต่ำที่สุด * TE ไม่สามารถบอกได้ว่าผลตอบแทนกองทุนสูงหรือต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน บอกได้เพียงระดับความเบี่ยงเบน 3. Information Ratio (IR) คือ เครื่องมือในการวัดความสามารถของผู้จัดการกองทุน โดยวัดความสามารถในการสร้างผลตอบแทนเหนือเกณฑ์มาตรฐาน เทียบกับระดับความเบี่ยงเบนของอัตราผลตอบแทนกองทุนจากเกณฑ์มาตรฐาน (TE) ซึ่งมีสูตรการคำนวณดังนี้ * IR สูง แสดงว่ากองทุนสร้างผลตอบแทนส่วนเกิน (ผลตอบแทนเหนือเกณฑ์มาตรฐาน) ได้คุ้มค่าเมื่อเทียบกับระดับความ active มากกว่า IR ต่ำ * IR สูง แสดงถึงความสม่ำเสมอในการสร้างผลตอบแทนเหนือเกณฑ์มาตรฐาน * IR เน้นที่ผลตอบแทนเหนือเกณฑ์มาตรฐาน ขณะที่ Sharpe Ratio เน้นที่ผลตอบแทนเหนืออัตราผลตอบแทนปราศจากความเสี่ยง 4.2 การจัดอันดับกองทุนรวม ผู้จัดอันดับของทุนรวมที่เป็นที่นิยมของไทย คือ Morningstar Thailand ซึ่งจัดอันโดยการให้ Morningstar Rating Score โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. การคำนวณ Score ใช้หลักการอัตราผลตอบแทนที่ปรับด้วยความเสี่ยง (Risk-Adjusted Return) โดยมีวิธีการคำนวณของตนเองที่เรียกว่า Morningstar Risk-Adjusted Return (MRAR) 2. การจัดอันดับ จะนำ Score ที่ได้รับมาเปรียบเทียบกันเฉพาะในกลุ่มที่มีการลงทุนคล้ายกัน (Peer Group) และกองทุนที่มี Score สูงสุดจะได้ Rating 5 ดาว โดยการแบ่งกลุ่ม (Rating Level) จะมีการกระจายตัวแบบระฆังคว่ำ (Bell Curve) 3. อัตราผลตอบแทนที่จัดอันดับ คือ อัตราผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปี, 5 ปี และ 10 ปี 4. ข้อจำกัด การจัดอันดับใช้ข้อมูลในอดีตซึ่งไม่สามารถรับประกันผลตอบแทนในอนาคตได้ และในการทำ Score ไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยเชิงคุณภาพ เช่น การเปลี่ยนแปลงผู้จัดการกองทุน ซึ่งอาจมีผลต่อผลตอบแทนของกองทุน 4.3 การเปรียบเทียบผลการดำเนินงาน 1. สิ่งที่นำมาเปรียบเทียบ สามารถเทียบได้ในหลายๆ ด้าน เช่น 1) อัตราผลตอบแทน เช่น ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี, 3 ปี, 5 ปี 2) ความเสี่ยง เช่น ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน, Credit Risk, ความเสี่ยงจากการกระจุกตัว 3) อัตราผลตอบแทนปรับด้วยความเสี่ยง เช่น Sharpe Ratio, Tracking Error, Information Ratio, Morningstar Rating 2. เปรียบเทียบกับอะไร 1) เทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน (Benchmark) * อัตราผลตอบแทนของเกณฑ์มาตรฐาน แสดงถึงอัตราผลตอบแทนที่กองทุนควรทำได้ * เกณฑ์มาตรฐานจะเป็นดัชนีของสินทรัพย์ที่กองทุนนำเงินไปลงทุน เช่น กองทุนรวมหุ้นไทย เกณฑ์มาตรฐานจะเป็น SET Index * กองทุนรวมที่บริหารเชิงรุก (Active Management) จะพยายามสร้างผลตอบแทนเหนือเกณฑ์มาตรฐาน * กองทุนรวมที่บริหารเชิงรับ (Passive Management) จะพยายามสร้างผลตอบแทนใกล้เคียงเกณฑ์มาตรฐานที่สุด 2) เทียบกับกองทุนประเภทเดียวกัน (Peer group) นอกจากผู้ลงทุนจะเปรียบเทียบด้วยตนเองแล้ว สมาคมบริษัทจัดการลงทุน (Association of investment management company: AIMC) ได้จัดประเภทของกองทุนรวมและรายงานข้อมูลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานของกองทุนรวมกับกองทุนประเภทเดียวกัน (Peer group fund performance) ในรูปของเปอร์เซ็นไทล์ (Percentiles) * การอ่านค่า Percentiles แบ่งเป็น 5 ระดับ ดังนี้ 5th Percentile อัตราผลตอบแทนของกองทุนที่ได้อันดับที่ 5 เปอร์เซ็นต์ไทล์ 25th Percentile อัตราผลตอบแทนของกองทุนที่ได้อันดับที่ 25 เปอร์เซ็นต์ไทล์ 50th Percentile อัตราผลตอบแทนของกองทุนที่ได้อันดับที่ 50 เปอร์เซ็นต์ไทล์ 75th Percentile อัตราผลตอบแทนของกองทุนที่ได้อันดับที่ 75 เปอร์เซ็นต์ไทล์ 95th Percentile อัตราผลตอบแทนของกองทุนที่ได้อันดับที่ 95 เปอร์เซ็นต์ไทล์ * สิ่งที่ AIMC นำมาเปรียบเทียบคือ อัตราผลตอบแทนและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)
1345202.txt
ตราสารที่เชื่อมโยงกับตราสารทุน 2. ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (Derivative Warrant: DW) 2.1 ความหมาย เงื่อนไข ชื่อย่อของ DW และสถานะของคู่สัญญา 1. ความหมาย DW เป็น Option (ออปชั่น) (Option ถือเป็นตราสารอนุพันธ์ (Derivative) ประเภทหนึ่ง ที่ให้สิทธิในการซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิง คำว่า สิทธิ ในที่นี้หมายถึงมีสิทธิในการเลือกว่าจะซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิงหรือไม่) ประเภทหนึ่ง ที่มีลักษณะเป็นสัญญาที่ให้สิทธิกับผู้ลงทุนในการซื้อ (Call) หรือขาย (Put) สินทรัพย์ที่อ้างอิง (Underlying Asset) ในอนาคตภายใต้ระยะเวลาที่กำหนดแต่ไม่เกิน 2 ปี โดยผู้ที่ออกเสนอขาย (Issuer) DW ให้กับผู้ลงทุน คือ สถาบันที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. เช่น ธนาคาร, บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 2. เงื่อนไขที่สำคัญของ DW ตัวอย่าง DW : ADVA01C1806A หลักทรัพย์อ้างอิง : หุ้นสามัญ ADVANC คือ หลักทรัพย์อ้างอิง คือ หุ้น ADVANC จำนวน DW ที่ขาย : 40,000,000 หน่วย คือ จำนวนที่ บล. เสนอขาย DW ให้ผู้ลงทุน ประเภทของ DW : Call คือ ให้สิทธิซื้อ รูปแบบการใช้สิทธิ : European คือ ใช้สิทธิได้ในวันหมดอายุของสัญญา การส่งมอบ : Cash Settlement คือ ชำระส่วนต่างของราคาด้วยเงินสด อัตราการใช้สิทธิ : 1 : 1 คือ DW 1 หน่วย มีสิทธิซื้อหุ้นสามัญได้ 1 หุ้น ราคาใช้สิทธิ : 200 บาท คือ เงินที่ต้องจ่ายเพื่อใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญ 1 หุ้น วันหมดอายุ : 5 ก.ค. 2018 คือ วันที่สัญญาหมดอายุ 3. ชื่อย่อของ DW ประกอบด้วย 12 ตัว 4. สถานะของคู่สัญญา 1) ผู้ซื้อหรือผู้ลงทุน DW มีสิทธิในการซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิง (คำว่า “สิทธิ” ในที่นี้หมายถึงมีสิทธิในการเลือกว่าจะซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิงหรือไม่) 2) ผู้ขายหรือผู้ออกตราสาร DW มีภาระผูกพันธ์ต้องทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับผู้ซื้อ กล่าวคือ หากผู้ซื้อใช้สิทธิซื้อสินทรัพย์อ้างอิง ผู้ขายต้องขายสินทรัพย์อ้างอิงให้ผู้ซื้อ 2.2 ประเภทของ DW สามารถแบ่งได้ 3 รูปแบบ คือ 1. แบ่งตามลักษณะของสิทธิ 1) สิทธิซื้อ (Call) คือ DW ที่ให้สิทธิซื้อสินทรัพย์อ้างอิงในอนาคต ดังนั้นหากราคาสินทรัพย์อ้างอิงปรับตัวขึ้นผู้ลงทุนใน Call จะกำไรมากขึ้น เช่น ผู้ลงทุนซื้อ DW มาที่ราคา 1 บาท โดย DW มีราคาใช้สิทธิซื้อหุ้นอ้างอิงที่ 15 บาท หากราคาหุ้นอ้างอิงปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 17 บาท เมื่อผู้ลงทุนใช้สิทธิซื้อหุ้นอ้างอิงที่ 15 บาท ผู้ลงทุนจะกำไร 1 บาท 2) สิทธิขาย (Put) คือ DW ที่ให้สิทธิขายสินทรัพย์อ้างอิงในอนาคต ดังนั้นหากราคาสินทรัพย์อ้างอิงปรับตัวลงผู้ลงทุนใน Put จะกำไรมากขึ้น เช่น ผู้ลงทุนซื้อ DW มาที่ราคา 1 บาท โดย DW มีราคาใช้สิทธิขายหุ้นอ้างอิงที่ 15 บาท หากราคาหุ้นอ้างอิงปรับตัวลดลงเป็น 11 บาท เมื่อผู้ลงทุนใช้สิทธิขายหุ้นอ้างอิงที่ 15 บาท ผู้ลงทุนจะกำไร 3 บาท 2. แบ่งตามกำหนดการใช้สิทธิ 1) แบบยุโรป (European Option) ใช้สิทธิได้ในวันหมดอายุของสัญญาเท่านั้น (DW ของไทยจะเป็นแบบ European Option) 2) แบบอเมริกัน (American Option) ใช้สิทธิได้ในวันใดก็ได้รวมถึงวันหมดอายุของสัญญา 3) แบบอเมริกันเทียม (Pseudo-American Option) ใช้สิทธิตามช่วงที่กำหนด เช่น ทุกไตรมาส, ทุกครึ่งปี, ทุกปี 3. แบ่งตามประเภทของสินทรัพย์อ้างอิง ตามประกาศของ ก.ล.ต. (ตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนที่ ทจ. 15/2553 เรื่อง การออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์) 1) หุ้นหรือกลุ่มหุ้นใน SET 50 2) หุ้นหรือกลุ่มหุ้นใน SET 100 (ในลำดับที่ 51 ถึง 100) 3) ดัชนีหลักทรัพย์ เช่น SET, SET50, SET100 4) หน่วยลงทุน ETF 5) หลักทรัพย์หรือกลุ่มหลักทรัพย์อื่น ตามที่ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด 2.3 สถานะของการใช้สิทธิ DW แบ่งออกเป็น 3 สถานะ ดังนี้ In the money: ควรใช้สิทธิ Call Option: ราคาสินทรัพย์ > ราคาใช้สิทธิ Put Option : ราคาสินทรัพย์ < ราคาใช้สิทธิ Out of the money: ไม่ควรใช้สิทธิ Call Option: ราคาสินทรัพย์ < ราคาใช้สิทธิ Put Option : ราคาสินทรัพย์ > ราคาใช้สิทธิ At the money: ใช้หรือไม่ก็ได้ Call Option: ราคาสินทรัพย์ = ราคาใช้สิทธิ Put Option : ราคาสินทรัพย์ = ราคาใช้สิทธิ 1. In the money คือ สถานะที่ควรใช้สิทธิของ DW 1) Call Option เป็น In the money เมื่อ ราคาสินทรัพย์อ้างอิง > ราคาใช้สิทธิซื้อ ซึ่งแสดงว่า ผู้ถือ Option มีสิทธิซื้อสินทรัพย์อ้างอิงได้ในราคาถูกกว่าราคาปัจจุบันของสินทรัพย์อ้างอิง 2) Put Option เป็น In the money เมื่อ ราคาสินทรัพย์อ้างอิง < ราคาใช้สิทธิขาย ซึ่งแสดงว่า ผู้ถือ Option มีสิทธิขายสินทรัพย์อ้างอิงได้ในราคาแพงกว่าราคาปัจจุบันของสินทรัพย์อ้างอิง 2. Out of the money คือ สถานะที่ไม่ควรใช้สิทธิของ DW 1) Call Option เป็น Out the money เมื่อ ราคาสินทรัพย์อ้างอิง < ราคาใช้สิทธิซื้อ ซึ่งแสดงว่า ผู้ถือ Option มีสิทธิซื้อสินทรัพย์อ้างอิงได้ในราคาแพงกว่าราคาปัจจุบันของสินทรัพย์อ้างอิง ซึ่งผู้ลงทุนไม่ควรใช้สิทธิเพื่อซื้อในราคาแพง 2) Put Option เป็น Out the money เมื่อ ราคาสินทรัพย์อ้างอิง > ราคาใช้สิทธิขาย ซึ่งแสดงว่า ผู้ถือ Option มีสิทธิขายสินทรัพย์อ้างอิงได้ในราคาถูกกว่าราคาปัจจุบันของสินทรัพย์อ้างอิง ซึ่งผู้ลงทุนไม่ควรใช้สิทธิเพื่อขายในราคาถูก 3. At the money คือ สถานะที่ใช้หรือไม่ใช้สิทธิของ DW ก็ได้ เนื่องจาก ราคาของสินทรัพย์อ้างอิงเท่ากับราคาใช้สิทธิ (แต่ในเชิงปฏิบัติมักไม่ใช้สิทธิเพื่อหลีกเลี่ยงขั้นตอนการใช้สิทธิ) 2.4 การส่งมอบเมื่อมีการใช้สิทธิ (Settlement) ผู้ออก DW สามารถเลือกได้ 2 วิธี คือ 1. ส่งมอบด้วยสินทรัพย์อ้างอิง (Physical Delivery) 1) กรณี Call DW เมื่อผู้ถือ DW ใช้สิทธิซื้อสินทรัพย์อ้างอิง ผู้ออก DW จะส่งมอบสินทรัพย์อ้างอิงให้กับผู้ใช้สิทธิ 2) กรณี Put DW เมื่อผู้ถือ DW ใช้สิทธิขายสินทรัพย์อ้างอิง ผู้ออก DW จะรับซื้อโดยชำระเป็นเงินสดให้ตามราคาใช้สิทธิ 2. ส่งมอบด้วยเงินสด (Cash Settlement) (DW ในไทยใช้วิธีนี้) 1) กรณี Call DW เมื่อผู้ถือ DW ใช้สิทธิซื้อสินทรัพย์อ้างอิง ผู้ออก DW จะส่งมอบเงินสดจากส่วนต่างราคาที่คำนวณจาก (ราคาสินทรัพย์อ้างอิง – ราคาใช้สิทธิ) x อัตราการใช้สิทธิ 2) กรณี Put DW เมื่อผู้ถือ DW ใช้สิทธิขายสินทรัพย์อ้างอิงผู้ออก DW จะส่งมอบเงินสดจากส่วนต่างราคาที่คำนวณจาก (ราคาใช้สิทธิ - ราคาสินทรัพย์อ้างอิง) x อัตราการใช้สิทธิ 2.5 การฝากทรัพย์สินเพื่อเป็นหลักประกันของผู้ออก DW เนื่องจากมีความเสี่ยงที่ผู้ออก DW จะไม่ส่งมอบเมื่อมีการใช้สิทธิตามที่ได้สัญญาไว้ (Credit Risk) ดังนั้นผู้ออก DW อาจใช้วิธีการฝากทรัพย์สินไว้กับผู้ดูแลทรัพย์สิน (Trustee) เพื่อเป็นหลักประกันว่าตนจะปฏิบัติตามสัญญาและสร้างความมั่นใจให้กับผู้ลงทุน โดยการฝากทรัพย์สินเป็นหลักประกันมี 3 ประเภท 1. ประกันเต็มจำนวน เป็นการฝากทรัพย์สินในมูลค่าเทียบเท่าการใช้สิทธิ DW ทั้งหมด ซึ่งถือเป็นวิธีที่ผู้ลงทุนมีความเสี่ยง Credit Risk ต่ำที่สุด 2. ประกันบางส่วน เป็นการฝากทรัพย์สินเพียงบางส่วน 3. ไม่ประกัน ไม่มีการฝากทรัพย์สิน ซึ่งเป็นวิธีที่ Credit Risk สูงสุด ดังนั้น ก.ล.ต. จึงกำหนดว่าผู้ออก DW ที่ไม่มีประกันนั้น ต้องมีอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ในสี่อันดับแรก ซึ่งคือ อันดับความน่าเชื่อถือ (ความน่าเชื่อถือของบริษัท ถูกประเมินจากบริษัท Credit Rating Agency ซึ่ง AAA คือ อันดับความน่าเชื่อถือสูงสุด) AAA, AA, A, BBB (DW ของไทยเป็นแบบไม่มีประกัน) 2.6 ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อ DW แต่ละปัจจัยอาจส่งผลกระทบต่อ DW ที่ให้สิทธิ Call และ Put มีดังนี้ ปัจจัยที่มีผลต่อ DW แบบ Call และ Put หากปัจจัยเหล่านี้สูง 1. ราคาใช้สิทธิ ผลกระทบต่อ Call ผลลบต่อราคา DW ผู้ลงทุนอยากได้สิทธิซื้อที่ราคาต่ำๆ ผลกระทบต่อ Put ผลบวกต่อราคา DW ผู้ลงทุนอยากได้สิทธิขายที่ราคาสูงๆ 2. ราคาสินทรัพย์อ้างอิง ผลกระทบต่อ Call ผลบวกต่อราคา DW เนื่องจากราคาใช้สิทธิซื้อคงที่ เมื่อราคาสินทรัพย์อ้างอิงสูงขึ้น DW จะยิ่งกำไรมากขึ้น ผลกระทบต่อ Put ผลลบต่อราคา DW เนื่องจากราคาใช้สิทธิขายคงที่ เมื่อราคาสินทรัพย์อ้างอิงสูงขึ้น DW จะยิ่งขาดทุน 3. การจ่ายเงินปันผลของสินทรัพย์อ้างอิง ผลกระทบต่อ Call ผลลบต่อราคา DW เนื่องจากเงินปันผลทำให้ราคาสินทรัพย์อ้างอิงลดลง ผลกระทบต่อ Put ผลบวกต่อราคา DW เนื่องจากเงินปันผลทำให้ราคาสินทรัพย์อ้างอิงลดลง 4. อายุคงเหลือของ Warrant ผลกระทบต่อ CallและPut ผลบวกต่อราคา DW อายุที่ยาว ทำให้มีระยะเวลาการใช้สิทธิที่ยาว ส่งผลให้มีโอกาสได้ใช้สิทธิเพิ่มขึ้น 5. ความผันผวนคาดการณ์ของราคาสินทรัพย์อ้างอิง (Implied Volatility) ผลกระทบต่อ CallและPut ผลบวกต่อราคา DW ความผันผวนที่สูง ทำให้มีโอกาสที่ราคาสินทรัพย์อ้างอิงปรับตัวขึ้นหรือลงแรง เมื่อราคาปรับขึ้นแรงจะเป็นโอกาสใช้สิทธิซื้อ (Call) และเมื่อลงแรงจะเป็นโอกาสใช้สิทธิขาย (Put) 6. อัตราดอกเบี้ย (มีผลเล็กน้อยกับ Warrant) ผลกระทบต่อ Call ผลบวกต่อราคา DW ผู้ลงทุนใช้เงินจำนวนน้อยในการซื้อ Call (ซื้อสิทธิที่จะซื้อ) จึงสามารถนำเงินส่วนที่เหลือไปฝากหรือลงทุนตราสารหนี้เพื่อรับดอกเบี้ย ผลกระทบต่อ Put ผลลบต่อราคา DW การซื้อ Put เปรียบเสมือนการซื้อสิทธิขายล่วงหน้า แต่ผู้ลงทุนยังไม่ได้รับเงิน ต่างจากการขายสินทรัพย์อ้างอิงทันที ผู้ลงทุนจะได้รับเงินและสามารถนำไปฝากหรือลงทุนในตราสารหนี้เพื่อรับดอกเบี้ย 2.7 การประเมินมูลค่า DW องค์ประกอบของการประเมินมูลค่า DW แบ่งออกเป็นส่วน คือ * มูลค่าแท้จริง (Intrinsic Value) ซึ่งคือ กำไรหรือขาดทุน หากใช้สิทธิของ Warrant ณ ตอนนี้ * มูลค่าตามเวลา (Time Value) ซึ่งคือ มูลค่าจากอายุคงเหลือของ Warrant โดย มูลค่าของ DW = มูลค่าแท้จริง + มูลค่าของเวลา ซึ่งมีรายละเอียดการคำนวณดังต่อไปนี้ มูลค่าของ DW = มูลค่าแท้จริง (Intrinsic Value) + มูลค่าของเวลา (Time Value) มูลค่าของ DW = กำไรหรือขาดทุนหากใช้สิทธิ + ราคา DW – มูลค่าแท้จริง มูลค่าของ Call DW = ราคาสินทรัพย์อ้างอิง - ราคาใช้สิทธิ + ราคา DW – (ราคาสินทรัพย์อ้างอิง – ราคาใช้สิทธิ) มูลค่าของ Put DW = ราคาใช้สิทธิ – ราคาสินทรัพย์อ้างอิง + ราคา DW – (ราคาใช้สิทธิ - ราคาสินทรัพย์อ้างอิง) 2.8 อัตราส่วนที่ใช้ในการวิเคราะห์ DW 1. ส่วนเกินราคา (Premium) คือ % ของมูลค่าตามเวลาต่อราคาสินทรัพย์อ้างอิง ซึ่งเท่ากับ % ของราคาตลาดของ DW ในส่วนที่มากกว่ามูลค่าแท้จริงนั่นเอง 2. อัตราทด (Gearing Ratio) คือ ระดับความผันผวนของ DW เมื่อเทียบกับหุ้นที่อ้างอิง โดยที่ Gearing Ratio สูง หมายถึงระดับความผันผวนที่สูง 3. เดลต้า (Delta) คือ ระดับของความอ่อนไหว (หรือความสัมพันธ์) ระหว่างการเปลี่ยนแปลงของราคา DW กับระดับการเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์อ้างอิง Delta = ระดับการเปลี่ยนแปลงของราคา DW / ระดับการเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์อ้างอิง ทั้งนี้ค่า Delta จะอยู่ระหว่าง 0 – 1 โดยที่ * หาก Delta เข้าใกล้ 1 หมายถึง ราคาของ DW เปลี่ยนแปลงใกล้เคียงกับราคาของสินทรัพย์อ้างอิงอย่างมาก เช่น Delta เท่ากับ 0.90 หมายถึง หากราคาสินทรัพย์อ้างอิงเปลี่ยนแปลง 1 บาท ราคา DW จะเปลี่ยนแปลง 0.90 บาท * หาก Delta เข้าใกล้ 0 หมายถึง ราคาของ DW มีระดับความอ่อนไหว (ความสัมพันธ์) กับการเปลี่ยนแปลงราคาของสินทรัพย์อ้างอิงน้อยอย่างมาก เช่น Delta เท่ากับ 0.10 หมายถึง หากราคาสินทรัพย์อ้างอิงเปลี่ยนแปลง 1 บาท ราคา DW จะเปลี่ยนแปลงเพียง 0.10 บาท จะเห็นได้ว่าค่าของ Delta จะบอกเราว่าหากราคาสินทรัพย์อ้างอิงเปลี่ยนแปลง 1 บาท ราคาของ Warrant จะเปลี่ยนแปลงกี่บาท 4. อัตราทดแท้จริง (Effective Gearing) มีความคล้ายคลึงกับ Delta แต่แทนที่จะบอกการเปลี่ยนของราคาในหน่วยบาท จะบอกการเปลี่ยนแปลงของราคาในหน่วย % กล่าวคือ หากอัตราทดแท้จริงเท่ากับ 5 หมายความว่า หากราคาสินทรัพย์อ้างอิงเปลี่ยนแปลง 1% ราคาของ DW จะเปลี่ยนแปลง 5% ในทิศทางเดียวกัน โดย Effective Gearing สามารถคำนวณได้ 2 วิธี 1. อัตราทดแท้จริง = % การเปลี่ยนแปลงของราคา DW / % การเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์อ้างอิง 2. อัตราทดแท้จริง = อัตราทด x Delta 5. ความอ่อนไหวต่อเวลาคงเหลือ (Time Decay) เนื่องจากมูลค่าของ DW ส่วนหนึ่งมาจากมูลค่าของเวลา ดังนั้นเมื่อเวลาค่อยๆ หมดลง ราคาของ DW จึงค่อยๆ ลดลงไปด้วย และค่าความอ่อนไหวต่อเวลาคงเหลือ คือ ค่าที่บอกว่าเมื่อเวลาเปลี่ยนไป 1 วัน ราคาของ DW จะลดลงเท่าไร โดยที่ Time Decay นี้อาจมีหน่วยเป็นตัวเงินหรือ % เช่น * Time Decay เท่ากับ 0.002 บาท แปลว่า เมื่อเวลาผ่านไป 1 วัน ราคาของ DW จะลดลง 0.002 บาท * Time Decay เท่ากับ 0.03% แปลว่า เมื่อเวลาผ่านไป 1 วัน ราคาของ DW จะลดลง 0.03% 6. ค่าความผันผวนคาดการณ์ (Implied Volatility) คือ ค่าความผันผวนของสินทรัพย์อ้างอิงที่ผู้ลงทุนคาดการณ์ (ไม่ใช่ค่าความผันผวนในอดีต แต่เป็นค่าความผันผวนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต) โดย Implied Volatility ที่สูงจะส่งผลบวกต่อราคา DW เนื่องจากความผันผวนที่สูง ทำให้มีโอกาสที่ราคาสินทรัพย์อ้างอิงปรับตัวขึ้นหรือลงแรง เมื่อราคาปรับขึ้นแรงจะเป็นโอกาสใช้สิทธิซื้อ (Call) และเมื่อลงแรงจะเป็นโอกาสใช้สิทธิขาย (Put) 7. จุดคุ้มทุน Break-even Point หมายถึง ราคาของสินทรัพย์อ้างอิงต้องขึ้นเป็นกี่บาท ที่ทำให้การซื้อ DW แล้วใช้สิทธิซื้อสินทรัพย์อ้างอิงเท่าทุน เช่น หากปัจจุบัน DW มีราคาอยู่ที่ 2 บาท และมีราคาใช้สิทธิซื้อสินทรัพย์อ้างอิงที่ 5 บาท จุดคุ้มทุน Break-even Point (ราคาสินทรัพย์อ้างอิง) จะเท่ากับ 7 บาท 8. All in Premium สามารถสื่อความหมายได้ 2 มุมมอง คือ 1) หมายถึง ราคาสินทรัพย์อ้างอิงต้องขึ้นกี่ % ที่จะทำให้ผู้ซื้อ DW แล้วใช้สิทธิซื้อสินทรัพย์อ้างอิงเท่าทุน 2) หมายถึง การซื้อ DW แล้วใช้สิทธิซื้อสินทรัพย์อ้างอิงนั้นแพงกว่าการซื้อหุ้นโดยตรงกี่ % ดังนั้นค่า All in Premium อยู่ที่ 10% หมายถึง สินทรัพย์อ้างอิงต้องขึ้นอีก 10% ถึงจะทำให้ผู้ซื้อ DW แล้วใช้สิทธิซื้อสินทรัพย์อ้างอิงเท่าทุน 9. Doubling factor หมายถึง ราคาสินทรัพย์อ้างอิงต้องขึ้นกี่ % จึงจะทำให้ราคา DW เพิ่มขึ้น 100% เมื่อใช้สิทธิซื้อสินทรัพย์อ้างอิง เช่น Doubling factor ที่ 40% หมายถึง สินทรัพย์อ้างอิงต้องขึ้นอีก 40% ถึงจะทำให้ราคา Warrant เพิ่มขึ้น 100% 2.9 การปรับราคาใช้สิทธิและอัตราใช้สิทธิของ DW เมื่อมี Corporate Action DW จะมีการปรับราคาใช้สิทธิและอัตราใช้สิทธิเมื่อมี Corporate Action เช่น การออกหุ้นเพิ่มทุน, การจ่ายเงินปันผล, การปันผลเป็นหุ้น, การแตกหุ้น (Stock Split), การรวมหุ้น (Reverse Stock Split) โดยการปรับราคาใช้สิทธิและอัตราใช้สิทธิจะไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อราคา DW 2.10 ผลตอบแทนและความเสี่ยงของ DW ผลตอบแทนของ DW มีวิธีการคำนวณใน 2 กรณี ดังนี้ 1. กรณีขายก่อนครบอายุ (ไม่ใช้สิทธิ) ในกรณีที่ผู้ลงทุนซื้อแล้วขาย DW โดยไม่มีการใช้สิทธิสามารถคำนวณกำไรขาดทุน (บาท) ได้ดังนี้ กำไรขาดทุน = [(ราคาขาย - ราคาซื้อ) x จำนวนหน่วย] - ค่าคอมมิชชั่นและ VAT 2. กรณีถือจนครบอายุ (ใช้สิทธิ) ในกรณีที่ผู้ลงทุนซื้อ DW แล้วใช้สิทธิ การคำนวณผลตอบแทน (บาท) จะแบ่งเป็น 2 ขั้นตอนดังนี้ 1) หาการส่งมอบด้วยเงินสด (Cash Settlement) เป็นขั้นตอนที่คำนวณว่า DW 1 หน่วย จะได้กำไรจากการใช้สิทธิซื้อหรือขายเท่าไร (กรณีที่ไม่คุ้มที่จะใช้สิทธิ ซึ่ง DW มีฐานะเป็น Out of the money นั้นจะไม่มีการส่งมอบ หรืออีกนัยถึงหนึ่งคือ Cash Settlement = 0) ประเภท DWและ สูตรการคำนวณ Cash Settlement Call DW = (ราคาสินทรัพย์อ้างอิง - ราคาใช้สิทธิ) x อัตราการใช้สิทธิ Put DW = (ราคาใช้สิทธิ - ราคาสินทรัพย์อ้างอิง) x อัตราการใช้สิทธิ * อัตราการใช้สิทธิในที่นี้ต้องปรับจากอัตราที่เป็น DW: สินทรัพย์อ้างอิง ให้อยู่ในรูปที่พร้อมคำนวณ ซึ่งเท่ากับ สินทรัพย์อ้างอิง / DW เงินที่ได้จาก Cash Settlement จะถือเป็นรายได้พึงประเมินและต้องยื่นภาษี ดังนั้นผู้ลงทุนที่ไม่ต้องการเสียภาษี อาจเลือกที่จะขาย DW ก่อนหมดอายุ (กำไรจากการซื้อขาย (Capital gain) DW ได้รับการยกเว้นภาษี เช่นเดียวกับหุ้นสามัญ อย่างไรก็ตามเงินที่ได้จาก Cash Settlement ต้องชำระภาษี) 2) หากำไรขาดทุน (บาท) เนื่องจาก Cash Settlement เป็นเพียงการหากำไรเมื่อมีการใช้สิทธิ ซึ่งยังไม่ได้หักต้นทุนในการซื้อ DW และไม่ได้คำนึงถึงจำนวนหน่วยที่ถือครอง DW ดังนั้นในการคำนวณหากำไรขาดทุนจึงมีสูตรดังนี้ กำไรขาดทุน = [(Cash Settlement - ราคาซื้อ DW) x จำนวน DW] – ค่าคอมมิชชั่น VAT ความเสี่ยงของ DW 1. ความเสี่ยงด้านราคา (Price Risk) คือ ความผันผวนของราคา DW ซึ่งเกิดจากปัจจัยต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อ DW 2. ความเสี่ยงจากอัตราทด DW ที่มีอัตราทดที่สูง จะมีความผันผวนของราคาสูง 3. ความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระของผู้ออก DW (Credit Risk) เป็นความเสี่ยงที่ผู้ออก DW จะไม่ส่งมอบเมื่อผู้ถือ DW ใช้สิทธิ 4. ความเสี่ยงจากอายุที่จำกัดของ DW ผู้ถือ DW ก็ไม่สามารถใช้สิทธิใดๆ ได้อีก เมื่ออายุของ DW หมดลง ส่งผลให้ DW ไม่มีค่าอีกต่อไป (ราคา DW เป็น 0) ดังนั้นเมื่อเวลาค่อยผ่านได้ราคาของ DW ก็จะค่อยๆ ลดลง (Time Decay) 5. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk) คือ ความเสี่ยงที่เกิดจากปริมาณการซื้อขายที่ต่ำของ DW ส่งผลให้ผู้ลงทุนขาดความคล่องตัวในการซื้อหรือขาย DW หรือ การซื้อขายแต่ละครั้งมีผลให้ราคา DW เปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จึงกำหนดให้ DW ในทุกตัวต้องมีผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker) เข้ามาช่วยเพิ่มปริมาณการซื้อขาย 2.11 ประโยชน์ของ DW ประโยชน์ต่อผู้ลงทุน 1. เป็นเครื่องมือที่สามารถทำกำไรได้ทั้งจากการที่ราคาสินทรัพย์อ้างอิงขึ้น (Call DW) และลง (Put DW) 2. ใช้เงินลงทุนน้อย เนื่องจากราคา DW ต่ำกว่าสินทรัพย์อ้างอิง 3. มีอัตราทด ทำให้มีการขึ้นลงของอัตราผลตอบแทนมากกว่า ผู้ลงทุนจะกำไรมากกว่าการลงทุนสินทรัพย์อ้างอิงหากมองทิศทางของราคาถูกต้อง 4. จำกัดผลขาดทุนได้ โดยขาดทุนไม่เกินเงินที่ลงทุน (ตราสารอนุพันธ์บางประเภท เช่น Future และ Forward ไม่สามารถจำกัดผลขาดทุนได้) 5. สามารถใช้ป้องกันความเสี่ยง เช่น การที่ผู้ลงทุนซื้อกองทุน LTF (กองทุน LTF เป็นกองทุนลดหย่อยภาษีประเภทหนึ่ง ที่ลงทุนในหุ้น และมีเงื่อนไขว่าต้องถือครองอย่างน้อย 7 ปีปฏิทิน) และยังไม่สามารถขายได้ แต่กังวลว่าหุ้นจะลง ผู้ลงทุนสามารถป้องกันความเสี่ยงได้โดยการซื้อ PUT DW ประโยชน์ต่อผู้ออก และ บล. 1. เป็นช่องทางเพิ่มรายได้ให้ผู้ออก DW จากการขายสิทธิที่จะซื้อหรือจะขาย ให้กับผู้ลงทุน 2. การออก DW ไม่ต้องวางหลักทรัพย์ค้ำประกัน (Option ประเภทอื่นผู้ออกต้องวางหลักทรัพย์ค้ำประกัน เพื่อป้องการความเสี่ยงด้าน Credit Risk) 3. เป็นรายได้ให้บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมื่อมีการซื้อขาย DW เนื่องจากผู้ลงทุนต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขาย
1345176.txt
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 9. ข้อมูลที่บริษัทจดทะเบียนต้องรายงานกับตลาดหลักทรัพย์ฯ 9.1 ข้อมูลเกี่ยวกับฐานะการเงินและผลการดำเนินงาน (Periodic Report) 1. ประเภทรายงานและกำหนดส่ง งบรายไตรมาส ฉบับสอบทาน: ภายใน 45 วัน จากวันสิ้นสุดไตรมาส งบประจำงวด 1 ปี ฉบับสอบทาน: ภายใน 60 วัน จากวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี (บริษัทสามารถส่งงบปีแทนงบไตรมาส 4 ได้) งบประจำงวด 1 ปี ฉบับตรวจสอบ: ภายใน 3 เดือน จากวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี (ไตรมาส 4) แบบแสดงรายงานข้อมูลประจำปี (แบบ 56-1): ภายใน 3 เดือน จากวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี (ไตรมาส 4) แบบรายงานประจำปีที่ส่งผู้ถือหุ้น (Annual Report หรือ 56-2): ภายใน 120 วัน จากวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี (ไตรมาส 4) * ฉบับตรวจสอบจะตรวจละเอียดกว่าการสอบทาน วันสิ้นสุดของรอบระยะเวลาบัญชีไม่จำเป็นต้องเป็นสิ้น ธ.ค. บางบริษัทอาจใช้สิ้น มี.ค., มิ.ย. หรือ ก.ย. ได้ 2. เอกสารอื่นๆ ที่จัดส่งพร้อมงบการเงิน 1) งบการเงินฉบับเต็ม 2) รายงานสรุปผลการดำเนินงาน (F45) 3) คำชี้แจงงบการเงิน กรณีบริษัทมีกำไรมากกว่าหรือน้อยกว่างวดเดียวกันของปีก่อนหน้าเกิน 20% 4) คำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ (Management discussion and analysis : MD&A) 9.2 ข้อมูลเหตุการณ์สำคัญ (Non-periodic Report) แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ 1. ข้อมูลที่ต้องเปิดเผยทันที คือ ข้อมูลที่มีผลต่ออย่างมีนัยสำคัญ ต่อราคาหลักทรัพย์, ต่อการตัดสินใจลงทุน หรือต่อสิทธิประโยชน์ผู้ถือหุ้น เช่น 1) บริษัทประสบภัยร้ายแรง เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม 2) บริษัทหยุดดำเนินงานทั้งหมด หรือบางส่วน เช่น การถูกยกเลิกสัมปทาน 3) บริษัทเปลี่ยนลักษณะธุรกิจ เช่น เปลี่ยนจากธุรกิจก่อสร้างเป็นธุรกิจจำหน่ายเครื่องสำอาง 4) บริษัททำสัญญาให้บุคคลอื่นมีอำนาจในการบริหารกิจการทั้งหมดหรือบางส่วน 5) บริษัทครอบงำหรือถูกครอบงำกิจการ 6) กรณีอื่นๆ ที่กระทบต่อผู้ที่หุ้นที่ ก.ล.ต. เห็นสมควร เช่น การเพิ่ม/ลดทุนจดทะเบียน การจ่ายเงินปันผล, การร่วม/ยกเลิกการร่วมทุน, การซื้อหุ้นคืน 2. ข้อมูลที่ต้องจัดส่งใน 3 วัน 1) การเปลี่ยนแปลงกรรมการบริษัท 2) การแก้ไขหนังสือข้อบังคับหรือหนังสือบริคณห์สนธิบริษัท 3) การย้ายสำนักงานใหญ่ 4) การเปลี่ยนแปลงผู้ตรวจสอบบัญชี 5) การเปลี่ยนแปลงนายทะเบียนหลักทรัพย์ หรือการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ของนายทะเบียน 3. ข้อมูลที่ต้องจัดส่งใน 14 วัน 1) รายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ 10 อันดับแรก 2) รายงานการประชุมผู้ถือหุ้น 3) รายงานการกระจายการถือหุ้น ตามที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนด
1345189.txt
การประเมินมูลค่าและอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ 2. ราคาของตราสารหนี้ เมื่อมีการชื้อขายตราสารหนี้นั้น ราคาที่แสดงในกระดานซื้อขายตราสารหนี้ และราคาที่ใช้ชำระในการซื้อขายนั้นจะเป็นคนละราคากัน ซึ่งราคาของตราสารหนี้มี 2 ประเภทดังนี้ 2.1 Gross Price หรือ Dirty Price เนื่องจากตราสารหนี้นั้นไม่ได้จ่ายดอกเบี้ย (Coupon) ให้กับผู้ลงทุนทุกวัน แต่จะจ่ายเป็น รายเดือน, รายไตรมาส, ทุกครึ่งปี หรือ รายปี และแม้ว่าผู้ซื้อจะพึ่งซื้อตราสารหนี้มาก่อนวันจ่ายดอกเบี้ยงวดถัดไปเพียง 1 วันก็ตาม ผู้ซื้อจะได้รับดอกเบี้ยเต็มจำนวน ซึ่งจะเห็นได้ว่าไม่ค่อยยุติธรรมกับผู้ขาย เพราะผู้ขายควรได้ดอกเบี้ยบางส่วนตามระยะเวลาที่ผู้ขายถือครองตราสาร โดยดอกเบี้ยส่วนที่ผู้ขายควรจะได้นี้เรียกว่า ดอกเบี้ยค้างรับ (Accrued Interest) ดังนั้นเพื่อให้ยุติธรรมกับผู้ซื้อ การจ่ายชำระเงินเพื่อซื้อขายตราสารหนี้จะชำระเงินกันในราคา Gross Price ซึ่งเป็นราคาตราสารหนี้ที่รวมดอกเบี้ยค้างรับนั่นเอง อย่างไรก็ตามข้อเสียของ Gross Price คือ ราคาของตราสารหนี้จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกวันจากผลของดอกเบี้ยค้างรับ ส่งผลต่อความยากในการวิเคราะห์ของผู้ลงทุนว่า ราคาของตราสารหนี้ที่เปลี่ยนแปลงนี้ มาจากผลของดอกเบี้ยค้างรับ ความมั่นคงของผู้ออกตราสาร หรือปัจจัยเศรษฐกิจอื่นๆ กันแน่ 2.2 Net Price หรือ Clean Price เข้ามาช่วยจัดการข้อเสียของ Dirty Price โดย Clean Price จะเป็นราคาของตราสารหนี้ที่ไม่รวมดอกเบี้ยค้างรับ และเป็นราคาที่แสดงในกระดานซื้อขายตราสารหนี้
1345143.txt
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกองทุนรวม 4. ภาษีของการลงทุนในกองทุน ผู้ลงทุนแต่ละประเภทจะมีการเสียภาษีที่ต่างกันดังนี้ เงินปันผล บุคคลธรรมดา หัก ณ ที่จ่าย 10% หรือ นำเงินปันผลไปรวมเป็นรายได้ นิติบุคคลทั่วไป ได้รับการยกเว้นกึ่งหนึ่งหากลงทุนก่อนปันผล 3 เดือน และยังคงถือครองหลังปันผลอีก 3 เดือน (หน้า 3 หลัง 3 จากวัน XD) นิติบุคคลที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ได้รับการยกเว้นทั้งหมดหากลงทุนก่อนปันผล 3 เดือนและยังคงถือครองหลังปันผลอีก 3 เดือน(หน้า 3 หลัง 3 จากวัน XD) ข้อยกเว้นอื่นๆ นิติบุคคลที่ลงทุนในกอง REIT ต้องเสียภาษีจากปันผลในอัตราปกติของภาษีนิติบุคคล บุคคลธรรมดาที่ลงทุนในกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) ได้รับการยกเว้นภาษีจากปันผลเป็นเวลา 10 ปี นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน * วัน XD (Excluded Dividend) เป็นวันที่ผู้ลงทุนจะไม่ได้รับสิทธิในเงินปันผล (ผู้ที่ถือครองหลักทรัพย์ ก่อนวันขึ้นเครื่องหมาย XD จะได้รับเงินปันผล) กำไรจากส่วนต่างราคา บุคคลธรรมดา ได้รับการยกเว้น นิติบุคคลทั่วไป นำไปรวมเป็นรายได้และเสียภาษี นิติบุคคลที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ นำไปรวมเป็นรายได้และเสียภาษี ข้อยกเว้นอื่นๆ นิติบุคคลที่ลงทุนในกอง REIT ต้องเสียภาษีจากปันผลในอัตราปกติของภาษีนิติบุคคล บุคคลธรรมดาที่ลงทุนในกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) ได้รับการยกเว้นภาษีจากปันผลเป็นเวลา 10 ปี นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน 1. กรณีบุคคลธรรมดา 1) เงินปันผล สำหรับบุคคลธรรมดาสามารถเลือกได้ 2 ทางเลือก คือ * หัก ภาษี ณ ที่จ่าย 10% วิธีนี้จะถือว่าผู้ลงทุนยินดีชำระภาษีที่ 10% ตามภาษีหัก ณ ที่จ่าย * หัก ภาษี ณ ที่จ่าย 10% แล้วเครดิตภาษีคืน โดยนำเงินปันผลไปรวมเป็นรายได้ ซึ่งวิธีนี้ผู้ลงทุนจะได้รับเงินภาษีที่หัก ณ ที่จ่าย 10% คืน และภาษีในระดับฐานภาษีบุคคลธรรมดาของตนเองแทน 2) กำไรจากส่วนต่างราคา ได้รับการยกเว้นภาษี 2. กรณีนิติบุคคลทั่วไป 1) ปันผล สามารถแบ่งเป็น 2 กรณี คือ * นำเงินปันผลทั้งหมดไปรวมเป็นรายได้และเสียภาษี (ไม่มีภาษีหัก ณ ที่จ่าย ต่างจากตราสารทุนที่มี 10%) * ได้รับการยกเว้นภาษีกึ่งหนึ่ง กรณีลงทุนก่อนปันผล 3 เดือนและยังคงถือครองหลังปันผลอีก 3 เดือน (หน้า 3 หลัง 3) 2) กำไรจากส่วนต่างราคา นำไปรวมเป็นรายได้แล้วเสียภาษี 3. กรณีนิติบุคคลที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 1) ปันผล สามารถแบ่งเป็น 2 กรณี คือ * 1. นำเงินปันผลทั้งหมดไปรวมเป็นรายได้และเสียภาษี (ไม่มีภาษีหัก ณ ที่จ่าย ต่างจากตราสารทุนที่มี 10%) * 2. ได้รับการยกเว้นภาษีทั้งหมด กรณีลงทุนก่อนปันผล 3 เดือนและยังคงถือครองหลังปันผลอีก 3 เดือน (หน้า 3 หลัง 3) 2) กำไรจากส่วนต่างราคา นำไปรวมเป็นรายได้แล้วเสียภาษี เนื้อหาเสริม: กองทุนรวมเพื่อการออม (Super Saving Fund: SSF) ในปี 2563 กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long Term Equity Fund: LTF) ได้ถูกยกเลิก และมีกองทุนรวมเพื่อการออม (Super Saving Fund: SSF) เข้ามาแทนที่ โดย LTF และ SSF มีความแตกต่างกันดังนี้ LTF วัตถุประสงค์ของกองทุน สร้างเสถียรภาพให้ตลาดหุ้นไทย ลดหย่อนภาษี ไม่เกิน 15% ของรายได้ และ ไม่เกิน 500,000 บาท ระยะเวลาลงทุน 7 ปีปฏิทิน หลักทรัพย์ที่กองทุนลงทุน หุ้นไทย ไม่ต่ำกว่า 65% SSF วัตถุประสงค์ของกองทุน เพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว ลดหย่อนภาษี ไม่เกิน 30% ของรายได้ และ ไม่เกิน 200,000 บาท และ เมื่อรวมกับเครื่องมือการออมเพื่อการเกษียณอื่น1 ต้องไม่เกิน 500,000 บาท ระยะเวลาลงทุน 10 ปี บริบูรณ์ (นับจากวันที่ซื้อ) หลักทรัพย์ที่กองทุนลงทุน หลักทรัพย์ทุกประเภท เช่น ตราสารหนี้, หุ้น, กองทุน โดยลงทุนได้ทั้งในและต่างประเทศ เครื่องมือการเกษียณอื่น ในที่นี้ คือ RMF, PVD, กบข., ประกันชีวิตแบบบำนาญ นอกจากนำ SSF มาทดแทน LTF แล้ว ยังมีการเปลี่ยนกฎเกณฑ์ของ RMF 2 ข้อ ดังนี้ 1. ลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้นจาก 15% ของรายได้ เป็น 30% ของรายได้ 2. ยกเลิกเงินลงทุนขั้นต่ำ (แต่ยังคงต้องลงทุนต่อเนื่องเหมือนเดิม)
1345161.txt
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 7. การเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ 7.1 หลักเกณฑ์ในการเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์มีหน้าที่กำหนดขั้นตอน พิจารณาคำขอเปิดบัญชี รวมถึงทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรกับลูกค้า รวมถึงต้องมีกระบวนการตรวจสอบว่าลูกค้าจริงเป็นบุคคลเดียวกับข้อมูลในเอกสาร 1. กระบวนการตรวจสอบ สามารถใช้หลายวิธี หรือวิธีใดวิธีหนึ่งดังนี้ 1) ให้ลูกค้าลงนามในใบคำขอเปิดบัญชี 2) ตรวจสอบกลับไปยังลูกค้า (เช่น โทรกลับ) เพื่อตรวจสอบความมีตัวตนของลูกค้า 3) แต่งตั้งบุคคลที่เชื่อถือได้มาตรวจสอบทั้งเอกสารและความมีตัวตนของลูกค้า 4) ลูกค้ายื่นเอกสารยืนยันตัวตน และ บล. ตรวจสอบเอกสาร 5) วิธีการอื่นๆ ที่ บล. สามารถแสดงให้เห็นว่าเพียงพอในการตรวจสอบว่าลูกค้าจริงเป็นบุคคลเดียวกับข้อมูลในเอกสาร 2. แบบฟอร์มการขอเปิดบัญชี ต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้า ดังนี้ 1) วัตถุประสงค์การลงทุน 2) ระดับความรู้และประสบการณ์ลงทุนในหลักทรัพย์ 3) ฐานะทางการเงินและภาระหนี้สิน 3. ข้อความที่ต้องเน้นให้เด่นชัดในสัญญาที่บริษัทหลักทรัพย์ทำกับลูกค้า 1) ความเสี่ยงของการลงทุนที่อาจทำให้ลูกค้าขาดทุน 2) สิ่งที่ บล. อาจบังคับลูกค้า เช่น * ให้วางหรือเพิ่มหลักประกัน (มักเกิดในกรณีที่ผู้ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า : Futures) * การบังคับขาย (Forced Sale) และการบังคับซื้อคืนหลักทรัพย์ * การระงับเงินที่ลูกค้ามีสิทธิได้รับจากหลักทรัพย์ เพื่อนำมาชำระหนี้ของลูกค้า * บล. สามารถเลิกสัญญาได้ แต่ต้องรับผิดชอบลูกค้าจากความผิดพลาดของ บล. หรือ พนักงานของ บล. 3) การซื้อหลักทรัพย์ให้ลูกค้า ต้องเป็นตามลำดับก่อนหลัง และเงื่อนไขการซื้อขาย 7.2 ประเภทของบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ ลูกค้าสามารถเลือกประเภทของบัญชีซื้อขาย ซึ่งมี 2 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้ 1. บัญชีเงินสด (Cash Account) คือ บัญชีที่ชำระเงินค่าซื้อหลักทรัพย์เป็นเงินสดเต็มจำนวน โดย สามารถแยกย่อยเป็น 2 รูปแบบดังนี้ 1) บัญชีเงินสดปกติ (Normal Cash) คือ บัญชีที่จะเก็บเงินค่าซื้อหลักทรัพย์เป็นเงินสดเต็มจำนวนจากลูกค้าในวันที่ T+2 โดยจะมีการกำหนดวงเงินที่ลูกค้าสามารถซื้อได้ในแต่ละวัน ซึ่งพิจารณาวงเงินจากข้อมูลฐานะการเงินของลูกค้า 2) บัญชีเงินสดแบบมีหลักประกันเต็มจำนวน (Cash Balance) เป็นบัญชีที่ผู้ลงทุนต้องโอนเงินเข้าบัญชีของ บล. ก่อน โดยลูกค้าจะซื้อหลักทรัพย์ได้ไม่เกินจำนวนเงินในบัญชีดังกล่าว และเมื่อมีการซื้อหลักทรัพย์จำนวนเงินในบัญชีก็จะถูกหักไปชำระค่าซื้อหลักทรัพย์ทันที (วันที่ T) ทั้งนี้เงินสดส่วนที่ยังไม่ได้ซื้อหลักทรัพย์นั้นจะถูกฝากไว้กับ บล. และจะได้รับดอกเบี้ยจาก บล. ด้วย 2. บัญชีมาร์จิ้น (Margin Account) คือ บัญชีที่อนุญาตให้ลูกค้ากู้เงินจาก บล. มาลงทุน รวมถึงสามารถยืมหุ้นมาขาย (Short Sale) ได้ ซึ่งแน่นอนว่าผู้ลงทุนต้องจ่ายดอกเบี้ยในการกู้ยืมรวมถึงการ Short Sale โดย บล. จะมีความเสี่ยงในการที่ผู้ลงทุนผิดนัดชำระหนี้ ดังนั้นตลาดหลักทรัพย์ได้นำระบบ Credit Balance เข้ามาช่วยป้องกันความเสี่ยงซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ 1) มีการนำเงินสดหรือหลักทรัพย์มาวางเป็นหลักประกัน (Initial Margin) ก่อนการกู้ยืมเงินไปลงทุน 2) มีการปรับมูลค่าของหลักประกัน เมื่อหลักทรัพย์ที่ผู้ลงทุนไปลงทุนมีมูลค่าเปลี่ยนแปลงไป เช่น การที่มูลค่าหลักทรัพย์ลดลงทำให้ผู้ลงทุนขาดทุน บล. จะมีความเสี่ยงมากขึ้นที่ผู้ลงทุนจะไม่สามารถนำเงินมาชำระหนี้ ดังนั้น บล. จึงนำส่วนที่ลูกค้าขาดทุนมากหักกับมูลค่าหลักประกัน ซึ่งมีผลให้มูลค่าหลักประกันลดลง 3) อัตรามาร์จิ้นที่ต้องดำรงไว้ (Maintenance Margin) ในกรณีที่มูลค่าหลักประกันลดลงเรื่อยๆ จนถึงต่ำกว่าระดับ Maintenance Margin ทาง บล. จะเรียกให้ลูกค้านำเงินสดหรือหลักทรัพย์มาค้ำประกันเพิ่ม (Call Margin) 4) การเรียกหลักประกันเพิ่ม (Call Margin) จะเรียกเพิ่มเป็นจำนวนเงินที่ทำให้หลักทรัพย์ค้ำประกันกลับมาเท่ากับ Maintenance Margin 5) อัตราการบังคับขาย (Forced Sale) ในกรณีที่มูลค่าหลักประกันลดลงต่อเนื่อง และผู้ลงทุนไม่นำเงินมาค้ำประกันเพิ่ม จนหลักประกันมีมูลค่าต่ำกว่าระดับ Forced Sale บริษัทหลักทรัพย์จะบังคับขายหลักทรัพย์ของผู้ลงทุนทันที
1345187.txt
การซื้อขายตราสารหนี้ในไทย 1. ตลาดตราสารหนี้ ตลาดตราสารหนี้นั้นแบ่งออกเป็นตลาดแรกและตลาดรอง ซึ่งได้กล่าวถึงความหมายของทั้งสองตลาดและกล่าวถึงการเสนอขายแบบ PO และ PP ไปแล้วในบทที่ 1 ของหนังสือ IC เล่มแรก (ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการเงินและการลงทุน) ดังนั้นเนื้อหาในบทนี้จะกล่าวถึงตลาด TBX, ตลาด OTC ของตราสารหนี้ และตลาด Repo เท่านั้น 1.1 Thailand Bond Exchange: TBX (Thailand Bond Exchange ชื่อเดิมคือ Bond Electronic Exchange หรือ BEX นั่นเอง) 1. กระบวนการซื้อขาย * ผู้ลงทุนส่งคำสั่งซื้อ/ขาย ไปยังบริษัทหลักทรัพย์ (Broker) * บริษัทหลักทรัพย์ส่งคำสั่งของผู้ลงทุน เข้าระบบของ TBX * TBX จะยืนยันการจับคู่ให้กับบริษัทหลักทรัพย์ และส่งผลการจับคู่ไปยังสำนักงานหักบัญชี (TCH) * สำนักงานหักบัญชีจะทำหน้าที่เป็นตัวแทนรับซื้อ/ขาย (Counter Party) ให้กับผู้ลงทุน แล้วจ่ายชำระราคา/ส่งมอบหลักทรัพย์ (จ่ายชำระราคา ให้กับผู้ขายตราสารหนี้ หรือ ส่งมอบหลักทรัพย์ให้ผู้ซื้อ) ไปยังบริษัทหลักทรัพย์ * บริษัทหลักทรัพย์จ่ายชำระราคา/ส่งมอบหลักทรัพย์ให้ผู้ลงทุน 2. ช่องทางการส่งคำสั่งซื้อขาย แบ่งตามประเภทผู้ซื้อได้ดังนี้ 1) ช่องทางสำหรับรายย่อย ส่งคำสั่งซื้อขายผ่านบริษัทหลักทรัพย์ (Broker) 2) ช่องทางสำหรับผู้ลงทุนสถาบัน ส่งคำสั่งซื้อขายผ่านระบบ Fixed Income and Related Securities Trading System (FIRSTs) 3. ข้อมูลเกี่ยวกับตลาด TBX 1) ข้อมูลเกี่ยวกับการซื้อขายในตลาด TBX เวลาการซื้อขาย ช่วงเช้า 10.00 ถึง 12.30 ช่วงบ่าย 14.30 ถึง 16.30 ราคาซื้อขาย ใช้ราคารวมดอกเบี้ยค้างรับ (dirty price/gross price) มีทศนิยม 2 ตำแหน่ง หน่วยการซื้อขาย 1 หน่วยซื้อขาย ซึ่งเท่ากับตราสารหนี้จำนวน 100 หน่วย (หากซื้อ 3 หน่วยซื้อขาย ก็จะได้ตราสารหนี้ 300 หน่วย) มูลค่าการซื้อขายต่อครั้ง ขั้นต่ำ 100 หน่วยตราสารหนี้ (1 หน่วยซื้อขาย) หรือ 100,00 บาท และสูงสุดไม่เกิน 10,000 หน่วยตราสารหนี้ (100 หน่วยการซื้อขาย) หรือ 10,000,000 บาท ช่วงราคา (Spread) ราคาปรับขึ้นลงช่วงละ 0.01 ราคาสูงสุดต่ำสุด ไม่ได้กำหนดราคาสูงสุด (Celling) และราคาต่ำสุด (floor) ของการเคลื่อนไหวของราคาแต่ละวันไว้ ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย แต่ละ บล. เป็นผู้กำหนดเอง 2) เครื่องหมายต่างๆ ในตลาด TBX เครื่องหมายต่างๆ จะขึ้น 2 วันทำการ ซึ่งแต่ละเครื่องหมายมีความหมายดังนี้ XI (Ex-Interest) ผู้ซื้อหลักทรัพย์จะไม่มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยของงวดนั้น XP (Ex-Principle) ผู้ซื้อหลักทรัพย์จะไม่มีสิทธิได้รับเงินต้นของงวดนั้น NP (Notice Pending) กำลังรอข้อมูลที่บริษัทต้องรายงานต่อตลาด TBX NR (Notice Received) บริษัทที่ขึ้น NP รายงานข้อมูลแล้ว H (Halt) หยุดการซื้อขายชั่วคราวไม่เกิน 1 รอบการซื้อขายของตลาด SP (Suspension) หยุดการซื้อขายชั่วคราวเกิน 1 รอบการซื้อขายของตลาด 3) การชำระราคาและการส่งมอบตราสารหนี้ ซึ่งดำเนินการโดยสำนักงานหักบัญชี (Thailand Clearing House: TCH) ประกอบด้วย 2 วิธี ดังนี้ * วิธีการชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์แบบ Net Clearing เป็นการชำระราคาและส่งมอบตราสารหนี้ในอีก 2 วันทำการซื้อขาย (T+2) ซึ่งถือเป็นกรณีทั่วไป * การชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์แบบทีละรายการ (Gross Clearing) เป็นการชำระราคาและส่งมอบตราสารหนี้ภายใน 2 วันทำการซื้อขาย (อาจเป็นในวันที่ซื้อขาย, วันที่ T+1 หรือ T+2 ขึ้นอยู่กับการตกลงกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย) ซึ่งผู้ที่มีสิทธิเลือกวิธีนี้ต้องมีการซื้อขายตราสารหนี้มูลค่า ≥50 ล้านบาท สำคัญ ผู้ที่ลงทุนในวันที่ขึ้นเครื่องหมายจะไม่ได้รับสิทธินั้น เช่น ลงทุนในวันที่ขึ้นเครื่องหมาย XI จะไม่ได้รับดอกเบี้ยงวดนั้น และหากต้องการดอกเบี้ยต้องลงทุนก่อนขึ้นเครื่องหมาย XI อย่างน้อย 1 วันทำการ 4. การการกำกับดูแลการซื้อขายตราสารหนี้ (มีหลักการเช่นเดียวกับการกำกับดูแลการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในบทที่ 4) ซึ่งดำเนินการโดยฝ่ายกำกับการซื้อขาย (Market surveillance department) ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งทำหน้าที่ดังนี้ 1) การติดตามภาวะการซื้อขาย เพื่อตรวจสอบคำสั่งซื้อขายที่ผิดปกติ 2) ติดตามการเปิดเผยข้อมูลของบริษัท เช่น การเปิดเผยข้อมูลที่มีผลสำคัญต่อฐานะการเงินของกิจการ, การรายงานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับข่าวลือต่างๆ 5. การจดทะเบียนตราสารหนี้ในตลาด TBX 1) เกณฑ์การรับจดทะเบียน * มูลค่าเสนอขายตราสารหนี้ ≥100 ล้านบาท * ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลให้สามารถออกตราสารหนี้ได้ 2) ค่าธรรมเนียนการจดทะเบียน ปัจจุบันไม่มี 3) การเปิดเผยข้อมูล บริษัทผู้ออกตราสารหนี้ต้องเปิดเผยข้อมูล ดังนี้ * ข้อมูลเกี่ยวกับการประชุมผู้ถือตราสารหนี้ เช่น กำหนดการวันประชุม, วาระการประชุม * การปิดสมุดหรือเปลี่ยนแปลงวันปิดสมุดเพื่อกำหนดรายชื่อผู้ที่จะมีสิทธิต่างๆ เช่น สิทธิเข้าประชุม, สิทธิการรับดอกเบี้ย, สิทธิการรับเงินต้น, สิทธิในการซื้อหุ้นสามัญ (Convertible Bond) (การใช้สิทธิในการซื้อหุ้นสามัญ บางครั้งถูกเรียกว่า การแปลงสภาพ เนื่องจากตราสารหนี้ที่ถืออยู่จะถูกเปลี่ยนเป็นหุ้นสามัญเมื่อมีการใช้สิทธิ), สิทธิในการไถ่ถอนตราสารหนี้คืนก่อนครบกำหนดของผู้ถือตราสารหนี้ (Puttable Bond), การถูกไถ่ถอนตราสารหนี้คืนก่อนครบกำหนดจากผู้ออกตราสาร (Callable Bond) * รายงานผลการใช้สิทธิต่างๆ เช่น การซื้อหุ้นสามัญ, การไถ่ถอนตราสารหนี้ก่อนครบกำหนด โดยข้อมูลที่รายงาน เช่น จำนวนการใช้สิทธิ, จำนวนตราสารหนี้คงเหลือ * เหตุการณ์ที่อาจมีผลกระทบต่อราคาตราสารหนี้รุนแรง เช่น การเปลี่ยนแปลงสิทธิต่างๆ, การผิดนัดชำระหนี้ของผู้ออกตราสารหนี้, การมีเหตุให้ต้องดำรงอัตราส่วนทางการเงินตามข้อกำหนดสิทธิ * รายงานงบการเงิน (กรณีตราสารหนี้ที่ออกโดยภาคเอกชน) 6. กลุ่มตราสารหนี้ในตลาด TBX แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ 1) พันธบัตรรัฐบาล 2) พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ 3) ตราสารหนี้ที่ออกโดยภาคเอกชน 1.2 ตลาดที่ไม่ได้จัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ (Over-the-counter: OTC) ในปัจจุบันตราสารหนี้ส่วนใหญ่ซื้อขายกันในแบบต่อรองราคากันเองระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย (Over-the-counter: OTC) ซึ่งการซื้อขายแบบ OTC สามารถแบ่งตามเกณฑ์คู่ค้าได้ 2 ประเภท ดังนี้ 1. ประเภทการซื้อขายตลาด OTC 1) การซื้อขายระหว่างผู้ค้าตราสารหนี้กับผู้ค้าตราสารหนี้ (Dealer to Dealer) (ผู้ค้าตราสารหนี้ Dealer คือ สถาบันการเงิน เช่น ธนาคาร, บริษัทหลักทรัพย์ ที่มีใบอนุญาตรับซื้อและ ขายตราสารหนี้ จาก ก.ล.ต. ทำหน้าที่และสร้างรายได้จากการรับซื้อและขายหลักทรัพย์ ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับร้านทองที่ทำหน้าที่และสร้างรายได้จากการรับซื้อและขายทอง โดยตั้งราคาขายรับซื้อที่ 19,700 บาท และราคาขายที่ 19,800 บาท และได้กำไรจากส่วนต่างราคาซื้อขายนั่นเอง) โดยการซื้อขายอาจเป็นการติดต่อกันโดยตรงระหว่างผู้ค้าตราสารหนี้กับผู้ค้าตราสารหนี้ หรือติดต่อกันผ่านนายหน้าระหว่างผู้ค้าตราสารหนี้ (Inter dealer broker : IDB) (นายหน้าระหว่างผู้ค้าตราสารหนี้ (IDB) คือ นายหน้าหรือตัวแทนเพื่อให้เกิดการซื้อขายตราสารหนี้ระหว่างผู้ค้าตราสารหนี้โดย IDB สร้างรายได้จากค่านายหน้า, ค่าธรรมเนียม) 2) การซื้อขายระหว่างผู้ค้าตราสารหนี้กับลูกค้า (Dealer to Client) ซึ่งลูกค้าในที่นี้สามารถเป็นออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ * นักลงทุนสถาบัน เช่น บริษัทจัดการกองทุน, กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.), บริษัทประกัน * นักลงทุนทั่วไป 2. ขั้นตอนการซื้อขายในตลาด OTC เริ่มจากผู้ค้าตราสารหนี้กำหนดราคาเสนอซื้อและเสนอขาย แล้วให้ผู้ที่ต้องการซื้อหรือขาย ติดต่อเข้ามาเพื่อต่อรองราคา ผู้ค้าตราสารหนี้ (Dealer) กำหนดราคาเสนอซื้อและราคาเสนอขายตราสารหนี้ โดยกำหนดราคาเป็นอัตราผลตอบแทน (YTM) เช่น เสนอซื้อที่ 3.10% และเสนอขายที่ 3.00% ผู้ต้องการซื้อ/ขาย ตราสารหนี้ ติดต่อผู้ค้าตราสารหนี้ผ่านโทรศัพท์หรือโปรแกรมคอมฯ โดยสามารถต่อรองราคาได้เช่น ผู้ต้องการซื้อต่อรองราคาที่ Dealer เสนอขายจาก 3.00% เป็น 3.05% 3. ประเภทของธุรกรรมซื้อขายของตลาดรอง 1) ธุรกรรมซื้อขายปกติ (outright transaction) คือ การซื้อขายตราสารหนี้ตามปกติ 2) ธุรกรรมซื้อคืน (financing transaction) คือ การขายตราสารหนี้โดยมีสัญญาว่าจะซื้อคืน ธุรกรรมซื้อคืนนี้เปรียบเสมือนการกู้ยืมโดยมีตราสารหนี้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันนั่นเอง 3) ธุรกรรมซื้อขายเพื่อวัตถุประสงค์อื่น (other transaction) เช่น การซื้อขายตราสารหนี้ล่วงหน้า (เช่น ทำสัญญากันว่าจะซื้อขายตราสารหนี้กันในอีก 3 เดือน), การซื้อขายที่มีการชำระราคาและส่งมอบเกินกว่า 4 วันทำการ (>T+4) 4. การชำระราคาและการส่งมอบตราสารหนี้ของตลาด OTC นั้นขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้ออกตราสาร (ภาครัฐหรือภาคเอกชน) และตราสารนั้นเป็นประเภทไร้ใบตราสาร (Scripless) หรือมีใบตราสาร (Script) ซึ่งสรุปได้ดังนี้ ตราสารหนี้ภาครัฐ ไร้ใบตราสาร (Scripless) (ปัจจุบันตราสารหนี้ส่วนใหญ่เป็นแบบไม่มีใบตราสาร) ดำเนินการโดยศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (TSD) ตราสารหนี้ภาครัฐ มีในตราสาร (Script) ดำเนินการโดยศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (TSD) ตราสารหนี้ภาคเอกชน ไร้ใบตราสาร (Scripless) (ปัจจุบันตราสารหนี้ส่วนใหญ่เป็นแบบไม่มีใบตราสาร) ไม่มีการรวมศูนย์อย่างตราสารภาครัฐ แต่ส่วนใหญ่ดำเนินการโดยศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (TSD) ตราสารหนี้ภาคเอกชน มีในตราสาร (Script) สลักหลัง แล้วดำเนินการที่นายทะเบียนของตราสารหนี้รุ่นนั้น 1.3 ตลาดซื้อคืนตราสารหนี้ (Repo Market) 1. ความหมาย คือ ตลาดรองสำหรับการทำธุรกรรมซื้อคืน 2. ลักษณะของธุรกรรมซื้อคืน มีดังนี้ * เป็นการขายตราสารหนี้โดยมีสัญญาว่าจะซื้อคืนในวันที่กำหนด * ตราสารหนี้ที่ขายส่วนใหญ่เป็นพันธบัตร * วันที่กำหนดซื้อคืนนั้นเป็นระยะสั้น เช่น อีก 1 วัน, 7 วัน, 14 วัน * ราคาที่ซื้อคืนจะสูงกว่าราคาที่ขายเสมือนเป็นดอกเบี้ยให้คู่สัญญา * ธุรกรรมซื้อคืนเปรียบเสมือนการกู้ยืมระยะสั้นโดยใช้พันธบัตรมาค้ำประกัน 3. ประโยชน์ของตลาดซื้อคืน * ใช้ในกรณีที่ผู้ทำธุรกรรมต้องการเงินทุนเพื่อบริหารสภาพคล่องระยะสั้น * ต้นทุนต่ำ เนื่องจากเป็นการกู้ระยะสั้นและมีพันธบัตรค้ำประกัน * เป็นช่องทางการดำเนินนโยบายทางการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อดูแลสภาพคล่องและอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น ผ่านการกำหนดอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตร 1 วัน (RP1 วัน)
1345136.txt
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกองทุนรวม 2. ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกองทุนรวม แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ดังนี้ 2.1 กลุ่มผู้ประกอบการและผู้เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการ 1. บริษัทจัดการกองทุน (บลจ.) ทำหน้าที่จัดตั้งกองทุน, ทำหนังสือชี้ชวน, บริหารจัดการกองทุน รวมถึงเสนอขายกองทุนและรับซื้อคืนหน่วยลงทุน 2. ตัวแทนสนับสนุนการขาย เช่น บริษัทหลักทรัพย์, บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน (บลน.), บริษัทประกันชีวิต, สถาบันการเงิน โดยตัวแทนสนับสนุนการขายจะทำหน้าที่ เป็นคนกลางในการช่วยเสนอขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุน รวมถึงการแจกจ่ายหนังสือชี้ชวนการลงทุน 3. ผู้แนะนำการลงทุน คือ พนักงานของ บลจ. หรือ พนักงานของตัวแทนสนับสนุนการขาย ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ให้คำแนะนำกาลงทุน โดยบุคคลเหล่านี้จะต้องผ่านการทดสอบและได้รับความเห็นชอบจาก ก.ล.ต. 4. ผู้จัดการกองทุน คือ พนักงานของ บลจ. ที่ทำหน้าที่ในการบริหารจัดการกองทุน โดยผู้จัดการกองทุนต้องได้รับความเห็นชอบจาก ก.ล.ต. และผ่านการทดสอบ CFA Level 1 หรือ CISA Level 1 และมีประสบการณ์ทำงานที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 2 ปี ในช่วง 5 ปีล่าสุด หรือ ในกรณีที่ไม่มีประสบการณ์ต้องผ่านการทดสอบ CFA Level 3 หรือ CISA Level 3 CFA เป็นหลักสูตรสำหรับ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์และผู้จัดการกองทุน ที่เป็นที่ยอมรับระดับสากล CISA เป็นหลักสูตรสำหรับนักเคราะห์หลักทรัพย์และผู้จัดการกองทุนของไทย 2.2 กลุ่มผู้ลงทุน ซึ่งได้แก่ผู้ที่ถือหน่วยลงทุน (ผู้ลงทุน) 2.3 กลุ่มผู้สนับสนุนและกำกับดูแล 1. ก.ล.ต. ออกกฎเกณฑ์ ตรวจสอบ กำกับดูแล บลจ. รวมถึงการพัฒนาธุรกิจการจัดการกองทุน 2. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทำหน้าที่เป็นตลาดรองในการซื้อขายกองทุนรวมประเภทกองทุนปิด และ ETF (เนื้อหาในบทนี้จะกล่าวถึงกองทุนปิดและกองทุน ETF ภายหลัง) 3. สมาคมบริษัทจัดการลงทุน ทุก บลจ. ต้องเป็นสมาชิกสมาคม ซึ่งสมาคมมีหน้าที่ส่งเสริมจรรยาบรรณรวมถึงพัฒนาธุรกิจจัดการลงทุน (ทั้งธุรกิจกองทุนรวม, กองทุนส่วนบุคคล และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ) 4. ผู้สอบบัญชีกองทุนรวม ต้องขึ้นทะเบียนกับ ก.ล.ต. มีหน้าที่ตรวจสอบและรับรองงบการเงินของกองทุนรวม 5. ผู้ชำระบัญชี เมื่อมีการเลิกกองทุน บลจ. ต้องจัดตั้งผู้ชำระบัญชี เข้ามาทำหน้าที่จำหน่ายทรัพย์สิน/หลักทรัพย์ในกองทุน และแจกจ่ายคืนให้กับผู้ถือหน่วยลงทุน 6. นายทะเบียน ทำหน้าที่บันทึกข้อมูลต่างๆ ของผู้ถือหน่วยลงทุน เช่น ชื่อ, ที่อยู่, จำนวนหน่วยลงทุน (บลจ. สามารถทำหน้าที่นายทะเบียนเองได้) 7. ผู้ดูแลผลประโยชน์ ทำหน้าที่เสมือนเป็นตัวแทนของผู้ถือหน่วย ในการตรวจทานการคำนวณมูลค่าหน่วยลงทุน เก็บรักษาทรัพย์สินกองทุน (เก็บทั้งเงินสดที่ระดมทุนจากผู้ลงทุนและรวมถึงหลักทรัพย์เมื่อมีการลงทุน) นอกจากนี้ผู้ดูแลผลประโยชน์ยังมีหน้าที่รับ/จ่ายเงิน รวมถึงการรับ/ส่งมอบหลักทรัพย์ โดยผู้ดูแลผลประโยชน์ต้องไม่ใช่ตัว บลจ. เอง และต้องไม่ใช่บริษัทในเครือ ของ บลจ. 8. ผู้จัดอันดับกองทุนรวม ที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. มี 4 แห่ง คือ 1) FICTH Rating Thailand 2) Reuters Thailand 3) Morningstar Thailand 4) TRIS Rating
1345159.txt
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 11. ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ฯ และบทวิเคราะห์จาก บล. 11.1 ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ 1. รายงานราคาซื้อขายหลักทรัพย์แบบ Real-time ทั้งตลาดตราสารทุน (SET/Mai), ตลาดตราสารหนี้ (BEX) และตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) 2. รายงานข้อมูลซื้อขายหลักทรัพย์สิ้นวัน ซึ่งจะรายงานภาพรวมและราคาปิดของตลาดตราสารทุน (SET/Mai), ตลาดตราสารหนี้ (BEX) และตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) 3. รายงานสารสนเทศของบริษัทจดทะเบียน เช่น ข้อมูลบริษัท, ลักษณะธุรกิจ, ข่าวสาร, งบการเงินของบริษัท 4. SETSMART คือ บริการด้านข้อมูลที่ตลาดหลักทรัพย์พัฒนาขึ้น เพื่อให้ข้อมูลซื้อขายหลักทรัพย์, ข้อมูลสารสนเทศของบริษัทจดทะเบียน รวมถึงสถิติต่างๆ ที่สำคัญ ในบริการเดียว โดย SETSMART ถูกออกแบบเป็น Web-based application และแยกย่อยได้ 3 ประเภท 1) SETSMART on Extranet * สำหรับผู้ใช้งานองค์กร * ใช้งานผ่านเครือข่าย Extranet ของตลาดหลักทรัพย์ฯ 2) SETSMART on Internet * สำหรับผู้ใช้งานรายย่อย หรือนักศึกษา * ใช้งานผ่าน Internet * มีทั้งแบบให้ข้อมูล 3 ปีย้อนหลัง และ 5 ปี ย้อนหลัง 3) SETSMART Enterprise * สำหรับผู้ใช้งานองค์กร * ใช้งานผ่านเครือข่าย Intranet ขององค์กรเอง (องค์กรที่ใช้ SETSMART Enterprise ส่วนใหญ่เป็น บริษัทหลักทรัพย์) 11.2 บทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) มีรายละเอียดของข้อมูลดังนี้ 1. ตารางสรุปงบการเงินและอัตราส่วนการเงินอย่างน้อย 2 ปี ย้อนหลัง และคาดการณ์อย่างน้อย 3 ปีไปข้างหน้า ซึ่งงบการเงินที่สำคัญมี 3 งบ ดังนี้ 1) งบกำไรขาดทุน 2) งบแสดงฐานะทางการเงิน (งบดุล) 3) งบกระแสเงินสด 2. ข้อมูลที่สำคัญของบริษัท เช่น ราคาและปริมาณซื้อขายย้อนหลัง, ผู้ถือหุ้นใหญ่, ราคาเป้าหมาย 3. ข้อมูลสถิติที่สำคัญของหลักทรัพย์ที่ถูกวิเคราะห์ เช่น * ธุรกิจพาณิชย์ ควรมีสถิติจำนวนสาขา, ยอดขายเฉลี่ยต่อสาขา * ธุรกิจโรงแรม ควรมีแนวโน้มนักท่องเที่ยว, อัตราการเข้าพัก, รายได้ค่าเช่าเฉลี่ยต่อห้อง 4. เหตุการณ์สำคัญของบริษัทรวมถึงการประเมินผลของเหตุการณ์ เช่น การควบรวมกิจการ, การขยายกิจการไปต่างประเทศ, หรือแผนการในอนาคตที่สำคัญของบริษัท 5. คำแนะนำในการลงทุน เช่น แนะนำซื้อ, ขาย หรือ ถือ รวมทั้งให้เหตุผลประกอบ 6. กรณีบทวิเคราะห์เชิงลึก (เช่น การวิเคราะห์หลักทรัพย์นั้นเป็นครั้งแรก) ควรมีองค์ประกอบเพิ่มเติมดังนั้น 1) ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อกำไรของบริษัท 2) การวิเคราะห์ภาพรวมของอุตสาหกรรม และคู่แข่ง 3) สมติฐานที่ใช้ในหาราคาเป้าหมายของหลักทรัพย์ (มูลค่าของหลักทรัพย์) 4) Sensitivity analysis โดยการแสดงราคาเป้าหมายในกรณีที่ปัจจัยต่างๆ ดีกว่า, เท่ากับ หรือแย่กว่าที่คาดการณ์ (Best, Base, Worst)
1345191.txt
การประเมินมูลค่าและอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ 3. การคำนวณอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้มีหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละรูปแบบสามารถคำนวณได้ดังนี้ 3.1 อัตราผลตอบแทนจากดอกเบี้ย (Current Yield) เป็นการคำนวณอัตราผลตอบแทนโดยการใช้ดอกเบี้ยรับต่อปี หารด้วย ราคาปัจจุบันของตราสารหนี้ 1. การคำนวณ Current Yield มีสูตรการคำนวณดังนี้ Current Yield = จำนวนดอกเบี้ยที่ได้รับต่อปี / ราคาปัจจุบัน โดย จำนวนดอกเบี้ยที่ได้รับต่อปี = อัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว x มูลค่าหน้าตั๋ว ตัวอย่าง : หุ้นกู้ ABC อายุ 6 ปี มีมูลค่าที่ตราไว้ (Par Value) 1,000 บาท อัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว (Coupon Rate) 6% ต่อปีทบต้นปีละ 2 ครั้ง ปัจจุบันหุ้นกู้มีราคาตลาดอยู่ที่ 950 บาท จงหาอัตราผลตอบแทนจากดอกเบี้ย (Current Yield) ของหุ้นกู้ ABC วิธีทำ ขั้นที่ 1 แทนสูตร จำนวนดอกเบี้ยที่ได้รับต่อปี = 0.06 x 1,000 = 60 บาท (หากคำนวณเป็นการจ่ายต่อครั้งจะเท่ากับจ่ายครั้งละ 30 บาท และจ่ายปีละ 2 ครั้ง) ราคาปัจจุบัน = 960 บาท ขั้นที่ 2 คำนวณ Current Yield = 60 / 960 = 0.0625 หรือ 6.25% 2. ความสัมพันธ์ระหว่าง อัตราผลตอบแทนจากดอกเบี้ย (Current Yield), อัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว (Coupon Rate) และราคาตราสารหนี้ Current Yield = Coupon Rate ราคาตราสารหนี้เท่ากับราคาหน้าตั๋ว ซึ่งเรียกว่า Par Bond Current Yield > Coupon Rate ราคาตราสารหนี้ต่ำกว่าราคาหน้าตั๋ว ซึ่งเรียกว่า Discount Bond Current Yield < Coupon Rate ราคาตราสารหนี้สูงกว่าราคาหน้าตั๋ว ซึ่งเรียกว่า Premium Bond 3.2 อัตราผลตอบแทนถึงวันครบกำหนด (Yield to Maturity : YTM) คือ อัตราผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนจะได้รับหากซื้อตราสารหนี้และถือจนครบกำหนดอายุ โดยในการคำนวณนั้นจะใช้สูตรเดียวกับการหามูลค่าที่เหมาะของตราสารหนี้ แต่ให้ค่า V0 เท่ากับราคาตลาดและหาค่า r แทน โดย YTM จะเท่ากับ r ที่ปรับค่าเป็นผลตอบแทนต่อปี 1. การคำนวณ Yield to Maturity :YTM 2. ความสัมพันธ์ระหว่าง อัตราผลตอบแทนถึงวันครบกำหนด (YTM), อัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว (Coupon Rate) และราคาตราสารหนี้ โดยความสัมพันธ์จะมีลักษณะเช่นเดียวกับ Current Yield ดังนี้ YTM = Coupon Rate ราคาตราสารหนี้เท่ากับราคาหน้าตั๋ว ซึ่งเรียกว่า Par Bond YTM > Coupon Rate ราคาตราสารหนี้ต่ำกว่าราคาหน้าตั๋ว ซึ่งเรียกว่า Discount Bond YTM < Coupon Rate ราคาตราสารหนี้สูงกว่าราคาหน้าตั๋ว ซึ่งเรียกว่า Premium Bond 3.3 อัตราผลตอบแทนถึงวันไถ่ถอนก่อนกำหนดจากผู้ออก (Yield to Call :YTC) คือ อัตราผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนจะได้รับหากซื้อตราสารหนี้และถือจนถึงวันที่ผู้ออกตราสารใช้สิทธิซื้อตราสารหนี้คืน โดยการหา YTC นั้นจะใช้กับตราสารหนี้ประเภท Callable Bond ทั้งนี้การคำนวณ YTC มีหลักการเช่นเดียวกับ YTM แต่มีจุดต่างกัน 2 จุด คือ * ค่า n แทนที่จะนับอายุคงเหลือจนถึงวันครบกำหนด จะนับถึงวันที่ผู้ออกตราสารสามารถใช้สิทธิเรียนคืน (Call Date) * ค่า FV แทนที่จะใช้มูลค่าหน้าตั๋ว (Par Value) จะใช้ราคาไถ่ถอนก่อนกำหนด (Call Price) สำคัญ การแก้สมการเพื่อหาค่า YTC นั้นมีความซับซ้อนและต้องใช้เครื่องคิดเลขทางการเงินเช่นเดียวกับ YTM ดังนั้น * โจทย์น่าจะถามความรู้ทั่วไปหรือสูตรที่ใช้คำนวณ YTC มากกว่า * หากโจทย์ให้คำนวณ YTC ผู้สอบต้องนำคำตอบจากช้อยมาแทนในค่า r และคำนวณหาค่า PV ที่ตรงกับโจทย์แทน 3.4 อัตราผลตอบแทนถึงวันไถ่ถอนก่อนกำหนดจากผู้ลงทุน (Yield to Put :YTP) คือ อัตราผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนจะได้รับหากซื้อตราสารหนี้และถือจนถึงวันที่ผู้ลงทุนใช้สิทธิขายตราสารหนี้คืนให้ผู้ออกตราสาร โดยการหา YTP นั้นจะใช้กับตราสารหนี้ประเภท Puttable Bond ทั้งนี้การคำนวณ YTP มีหลักการเช่นเดียวกับ YTC แต่มีจุดต่างคือ แทนที่จะใช้ราคาไถ่ถอนก่อนกำหนด (Call Price) การหา YTP จะใช้ราคาเรียกคืนเงินกู้ก่อนครบกำหนด (Put Price) สำคัญ การแก้สมการเพื่อหาค่า YTP นั้นมีความซับซ้อนและต้องใช้เครื่องคิดเลขทางการเงินเช่นเดียวกับ YTM และ YTC ดังนั้น * โจทย์น่าจะถามความรู้ทั่วไปหรือสูตรที่ใช้คำนวณ YTP มากกว่า * หากโจทย์ให้คำนวณ YTP ผู้สอบต้องนำคำตอบจากช้อยมาแทนในค่า r และคำนวณหาค่า PV ที่ตรงกับโจทย์แทน
1345144.txt
การซื้อขายตราสารหนี้ในไทย 3. ผู้เกี่ยวข้องกับตราสารหนี้ไทย สามารถแบ่งออกเป็น 5 กลุ่มได้ดังนี้ 3.1 กลุ่มผู้ลงทุน 1. ผู้ลงทุนรายย่อย คือ บุคคลธรรมดา หรือ นิติบุคคลที่มีเงินลงทุนในหลักทรัพย์ต่ำกว่าเกณฑ์ 2. ผู้ลงทุนรายใหญ่ (high net worth) คือ บุคคลธรรมดา หรือ นิติบุคคลที่มีเงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่งดังนี้ บุคคลธรรมดา (นับรวมกับคู่สมรส) สินทรัพย์สุทธิ / ส่วนของผู้ถือหุ้น ≥ 50 ล้าน รายได้ต่อปี ≥ 4 ล้าน เงินลงทุนในหลักทรัพย์ ≥ 10 ล้าน ลงทุนในหลักทรัพย์และเงินฝาก ≥ 20 ล้าน นิติบุคคล สินทรัพย์สุทธิ / ส่วนของผู้ถือหุ้น ≥ 100 ล้าน รายได้ต่อปี - เงินลงทุนในหลักทรัพย์ ≥ 20 ล้าน ลงทุนในหลักทรัพย์และเงินฝาก ≥ 40 ล้าน 3. ผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ (ultra high net worth) คือ บุคคลธรรมดา หรือ นิติบุคคลที่มีเงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่งดังนี้ บุคคลธรรมดา (นับรวมกับคู่สมรส) สินทรัพย์สุทธิ / ส่วนของผู้ถือหุ้น ≥ 70 ล้าน รายได้ต่อปี ≥ 10 ล้าน เงินลงทุนในหลักทรัพย์ ≥ 25 ล้าน ลงทุนในหลักทรัพย์และเงินฝาก ≥ 50 ล้าน นิติบุคคล สินทรัพย์สุทธิ / ส่วนของผู้ถือหุ้น ≥ 200 ล้าน รายได้ต่อปี - เงินลงทุนในหลักทรัพย์ ≥ 40 ล้าน ลงทุนในหลักทรัพย์และเงินฝาก ≥ 80 ล้าน 4. ผู้ลงทุนสถาบัน ตามประกาศของ ก.ล.ต. มีดังนี้ 1) ธนาคารแห่งประเทศไทย 2) ธนาคารพาณิชย์ 3) ธนาคารที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น 4) บริษัทเงินทุน 5) บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ 6) บริษัทหลักทรัพย์ 7) บริษัทประกันวินาศภัย 8) บริษัทประกันชีวิต 9) กองทุนรวม 10) กองทุนส่วนบุคคล 11) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 12) กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ 13) กองทุนประกันสังคม 14) กองทุนการออมแห่งชาติ 15) กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 16) ผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า 17) ผู้ประกอบธุรกิจการซื้อขายล่วงหน้าสินค้าเกษตร 18) สถาบันการเงินระหว่างประเทศ 19) สถาบันคุ้มครองเงินฝาก 20) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 21) นิติบุคคลประเภทบรรษัท 22) นิติบุคคลซึ่งมีบุคคลตาม (1) ถึง (21) ถือหุ้นรวมกัน >75% ของจำนวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด 23) ผู้ลงทุนต่างประเทศซึ่งมีลักษณะตาม (1) ถึง (22) 24) ผู้จัดการกองทุน และผู้จัดการลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า 25) ผู้ลงทุนอื่นใดตามที่สำนักงานประกาศกำหนด 3.2 กลุ่มผู้ออกตราสารหนี้ 1. กระทรวงการคลัง ผู้ออกตั๋วเงินคลัง, พันธบัตรรัฐบาล 2. ธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้ออกพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย 3. รัฐวิสาหกิจ ผู้ออกพันธบัตรรัฐวิสาหกิจ 4. บริษัทเอกชน ผู้ออกตั๋วแลกเงิน, หุ้นกู้ 3.3 กลุ่มผู้ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขาย 1. ผู้ค้าตราสารหนี้ (Dealer) สถาบันการเงินที่เป็นผู้ซื้อขายตราสารหนี้ในตลาด OTC (สร้างรายได้จากส่วนต่างราคาซื้อขาย) 2. นายหน้าค้าตราสารหนี้ บริษัทที่เป็นนายหน้าหรือตัวแทนซื้อขายตราสารหนี้ (สร้างรายได้จากค่านายหน้า, ค่าธรรมเนียม) 3. ที่ปรึกษาทางการเงิน (Financial Advisor) ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับผู้ที่ต้องการออกตราสารหนี้ในตลาดแรก ในเรื่องต่างๆ เช่น ดอกเบี้ย, อายุตราสารหนี้ และมูลค่าตราสารหนี้ ที่ออกควรเป็นอย่างไร 4. ผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ (Underwriter) ทำหน้าที่จัดจำหน่ายตราสารหนี้ในตลาดแรก ซึ่งรูปแบบการจัดจำหน่ายแบ่งเป็น 3 รูปแบบ ดังนี้ 1) การรับประกันการจัดจำหน่าย (Firm commitment) ผู้จัดจำหน่ายการันตีว่า จะจัดจำหน่ายตราสารหนี้ได้ทั้งหมดในราคา IPO หากไม่สามารถทำได้ผู้จัดจำหน่ายจะรับซื้อหลักทรัพย์ส่วนที่เหลือในราคา IPO 2) การพยายามขายให้ดีที่สุด (Best effort) ผู้จัดจำหน่ายจะพยายามอย่างดีที่ดีสุดเพื่อจำหน่ายตราสารหนี้ให้หมด 3) การรับซื้อหลักทรัพย์ที่เหลือเพื่อขายต่อ (Standby commitment) เป็นการจัดจำหน่ายที่ผู้จัดจำหน่ายให้สิทธิกับผู้ออกตราสารหนี้ ในกรณีที่ตราสารหนี้ไม่สามารถจัดจำหน่ายได้ทั้งหมด ผู้ออกตราสารมีสิทธิที่จะให้ผู้จัดจำหน่ายซื้อตราสารหนี้ส่วนที่เหลือโดยราคารับซื้อจะเป็นที่ต่ำกว่าราคา IPO 3.4 กลุ่มผู้ที่ทำหน้าที่สนับสนุนและดูแลผลประโยชน์ 1. ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ (Bond Holder Representative) สถาบันการเงินที่ทำหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ให้ผู้ถือหุ้นกู้ เช่น การเรียกร้องค่าเสียหายกรณีที่ผู้ออกหุ้นกู้ไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด รวมถึงการผิดนัดชำระหนี้ 2. สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating Agency) เป็นผู้ประเมินอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ และผู้ออกหุ้นกู้ 3. สำนักหักบัญชี (Thailand Clearing Houses : TCH) ทำหน้าที่เป็นคนกลาง (Counter Party) ในการชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ 4. นายทะเบียน (Register) ทำหน้าเก็บข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับตราสารหนี้ เช่น จำนวนตราสารหนี้, ผู้ถือครองของตราสารหนี้, การโอน, การจ่ายดอกเบี้ย * ตราสารหนี้ภาครัฐ มีธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นนายทะเบียน * ตราสารหนี้ภาคเอกชน ผู้ออกตราสารอาจเป็นนายทะเบียนเองหรือแต่งตั้งให้ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (Thailand Securities Depository : TSD) เป็นนายทะเบียน 5. ผู้รับฝากทรัพย์สิน (Custodian) มีหน้าที่ดูแลและเก็บรักษาหลักทรัพย์ 3.5 กลุ่มผู้กำกับดูแล 1. สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีหน้าที่กำกับดูแลและพัฒนาตลาดทุนทั้งตลาดแรกและตลาดรอง ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 1) กำกับดูแลธุรกิจหลักทรัพย์ เช่น การกำหนดให้ผู้ติดต่อกับผู้ลงทุนต้องมี IC License, การที่ต้องขออนุญาต ก.ล.ต. เพื่อประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ 2) กำกับการออกและเสนอขายหลักทรัพย์ เป็นการตรวจสอบความถูกต้องและความพอเพียงของข้อมูล เพื่อให้อนุญาตในการออกและเสนอขาย 3) กำหนดนโยบายและข้อบังคับ ของตลาดทุน 4) ป้องกันความไม่เป็นธรรมในการซื้อขายหลักทรัพย์ ทำหน้าที่พิจารณาข้อร้องเรียน และตรวจสอบการกระทำผิด 2. กระทรวงการคลัง ทำหน้าที่ควบคุมระบบการเงินทั้งระบบ โดยกระจายหน้าที่การควบคุมดูแลไปยังหน่วยงานต่างๆ และเป็นผู้แต่งตั้งสถาบันการเงิน, ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย และประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ 3. ธนาคารแห่งประเทศไทย ทำหน้าที่กำกับดูแลตลาดเงิน, สถาบันการเงิน รวมถึงการให้คำปรึกษาและเป็นตัวแทนในการขายตราสารหนี้ของรัฐบาล ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (กนง.) 7 คน เป็นผู้บริหารของ ธปท. 3 คน และบุคคลภายนอก 4 คน (ผู้ว่า ธปท. เป็นประธาน) ซึ่งคณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ดังนี้ 1) กำหนดเป้าหมายและนโยบายการเงินของประเทศ 2) กำหนดนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน 3) กำหนดมาตรการที่จำเป็นเพื่อสนับสนุนนโยบายข้อ 1) และ 2) 4) ติดตามการดำเนินงานของ ธปท. 4. สมาคมตราสารหนี้ไทย (Thai Bond Market Association: ThaiBMA) เป็นองค์กำกับดูแลตนเอง (Self Regulatory Organization: SRO) ซึ่งมีหน้าที่ดังนี้ 1) กำกับดูแลผู้ค้าตราสารหนี้ ให้ปฏิบัติตามข้อบังคับและจรรยาบรรณ 2) เป็นศูนย์กลางเผยแพร่ข้อมูลตราสารหนี้ของประเทศ เช่น ข้อมูลการซื้อขาย, การขึ้นทะเบียนตราสารหนี้, มูลค่ายุติธรรมของตราสารหนี้, Yield Curve ของพันธบัตร, ดัชนีตราสารหนี้ 3) กำหนดมาตรฐานการซื้อขายและแนวทางปฏิบัติในตลาดรองของตราสารหนี้ เช่น สัญลักษณ์ตราสารหนี้ 4) ให้ความรู้และพัฒนาตลาดตราสารหนี้
1345138.txt
การวิเคราะห์และกลยุทธ์การลงทุนในกองทุนรวม 3. แหล่งข้อมูลสำคัญของกองทุนรวม 3.1 รายงานการจัดอันดับกองทุน ที่จัดทำโดยบริษัทจัดอันดับกองทุน1 โดยจะจัดอันดับของอัตราผลตอบแทนและความเสี่ยงในรูปของ Percentiles 3.2 รายงานประจำปี (Annual Report) เป็นรายงานกองทุนรวมที่ให้ข้อมูล ผลการดำเนินงาน, งบการเงินของกองทุน, สินทรัพย์ทั้งหมดที่กองทุนรวมถือครอง เป็นต้น 3.3 หนังสือชี้ชวนส่วนสรุปสำคัญ (Fund Fact Sheet) เป็นเอกสารที่ให้ข้อมูลที่สำคัญกับผู้ลงทุน ซึ่งจะตอบคำถามสำคัญ ดังนี้ คุณกำลังจะลงทุนอะไร * นโยบายการลงทุน ให้ข้อมูลว่ากองทุนลงทุนอะไร * กลยุทธ์การบริหารกองทุน ให้ข้อมูลว่าลงทุนแบบ Active หรือ Passive กองทุนรวมนี้เหมาะกับใคร * กองทุนรวมนี้เหมาะกับใคร * กองทุนรวมนี้ไม่เหมาะกับใคร คุณต้องระวังอะไรเป็นพิเศษ * คำเตือนสำคัญ * ระดับความเสี่ยงกองทุน ระดับ 1 ถึง 8+ * ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับกองทุนรวมนี้ เช่น Market Risk, Credit Risk, Liquidity Risk สัดส่วนของสินทรัพย์ที่ลงทุน * สัดส่วนของประเภทของสินทรัพย์ที่ลงทุน * สัดส่วนตามอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) กรณีกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ * สัดส่วนตามสินทรัพย์ที่ลงทุนสูงสุด 5 อันดับ ค่าธรรมเนียม * ค่าใช้จ่ายที่เก็บจากผู้ลงทุน * ค่าใช้จ่ายที่เก็บจากกองทุน ผลการดำเนินงาน * อัตราผลตอบแทนของกองทุนและของเกณฑ์มาตรฐานตามปีปฏิทิน เช่น ผลตอบแทนปี 2018, ผลตอบแทนปี 2017, ผลตอบแทนปี 2016 * อัตราผลตอบแทนและความผันผวน (Standard Deviation) ของกองทุนและเกณฑ์มาตรฐานแบบปักหมุด เช่น ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือน, 6 เดือน, 1 ปี, 3 ปี, 5 ปี * ตารางแสดงผลตอบแทนเทียบกับกองทุนประเภทเดียวกัน (Peer Group) ในรูปของ Percentile * ผลขาดทุนสูงสุดในช่วง 5 ปี ย้อนหลัง (Maximum Drawdown) * Tracking error (กรณีลงทุนแบบ Passive) * อัตราผลตอบแทนของกองทุนหลักและของเกณฑ์มาตรฐาน (กรณีกองทุนประเภท Feeder Fund) ข้อมูลอื่นๆ * เช่น วันที่จดทะเบียน, ชื่อผู้ดูแลผลประโยชน์, การซื้อขายหน่วยลงทุน, อัตราหมุนเวียนการลงทุนของกองทุน (Portfolio Turnover Ratio) (Portfolio Turnover Ratio บอกปริมาณการซื้อขายสินทรัพย์ของผู้จัดการกองทุน คำนวณโดยใช้มูลค่าการซื้อหรือการขาย (เลือกใช้มูลค่าที่ต่ำกว่า) หาร ด้วยมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ), ชื่อผู้จัดการกองทุน
1345157.txt
ความรู้พื้นฐานของตราสารหนี้ 6. ประโยชน์ของการลงทุนในตราสารหนี้ สร้างรายได้ประจำ: จากดอกเบี้ย (Coupon) ให้ความปลอดภัย: ผู้ออกตราสารหนี้มีภาระผูกพันต้องชำระดอกเบี้ยและเงินต้นคืน โดยตราสารหนี้ที่ออกโดยภาครัฐถือเป็นตราสารที่ไม่มีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ (Default risk) ใช้กระจายความเสี่ยง: พอร์ตการลงทุนที่ผสมทั้งตราสารทุนและตราสารหนี้จะมีความผันผวนลดลง เมื่อเทียบกับการลงทุนในตราสารทุนเพียงอย่างเดียว ซื้อขายแลกเปลี่ยนมือได้: สามารถซื้อขายได้ก่อนครบกำหนดอายุ
1345174.txt
การซื้อขายตราสารหนี้ในไทย 6. ภาษีของตราสารหนี้ 6.1 รายได้จากตราสารหนี้ที่เกี่ยวข้องกับภาษี 1. ดอกเบี้ยรับ (Interest Income) ดอกเบี้ยที่ได้รับจาการลงทุนในตราสารหนี้ 2. กำไรจากส่วนต่างราคา (Capital gain) กำไรจากการขายตราสารหนี้ 3. ส่วนลดของตราสารหนี้ (Discount) เกิดจากการลงทุนในตราสารหนี้ที่ไม่จ่ายดอกเบี้ย (Zero Coupon Bond) ที่มักเสนอขายในตลาดแรกที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าหน้าตั๋ว เช่น เสนอขายราคา 980 บาท ราคาหน้าตั๋ว 1,000 บาท ดังนั้นส่วนลดที่ต้องเสียภาษีคือ 20 บาท ทั้งนี้ผู้ซื้อตราสารหนี้ในตลาดแรก (ผู้ถือตราสารหนี้คนแรก) เท่านั้นที่ต้องชำระภาษี 6.2 อัตราภาษีของผู้ลงทุนแต่ละประเภท แบ่งเป็นกรณีผู้ลงทุนชาวไทย และต่างชาติ ดังนี้ ผู้ลงทุนชาวไทยที่เป็นบุคคลธรรมดา ดอกเบี้ยรับ: หัก ณ ที่จ่าย 15% กำไรจากส่วนต่างราคา: หัก ณ ที่จ่าย 15% ยกเว้นภาษี สำหรับตราสารหนี้ที่ไม่มีดอกเบี้ย ส่วนลดตราสารหนี้: หัก ณ ที่จ่าย 15% เฉพาะผู้ถือตราสารหนี้คนแรก หมายเหตุ: มีสิทธิเลือกไม่นำไปคำนวณเป็นรายได้ ในภาษีเงินได้ปลายปี (การเลือกระหว่าง รวมหรือไม่รวม เป็นรายได้ ในภาษีปลายปี ผู้ลงทุนที่มีฐานภาษีบุคคลต่ำกว่า ภาษีหัก ณ ที่จ่าย การเลือกนำเงินรายได้จากตราสารหนี้มารวมในภาษีปลายปี จะทำให้ได้ภาษีคืนมาบางส่วน ผู้ลงทุนที่มีฐานภาษีบุคคลสูงกว่า ภาษีหัก ณ ที่จ่าย การเลือกไม่นำเงินรายได้จากตราสารหนี้มารวมในภาษีปลายปี เพราะถ้ารวมจะต้องจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น) ผู้ลงทุนชาวไทยที่เป็นนิติบุคคล ดอกเบี้ยรับ: หัก ณ ที่จ่าย 1% กรณีมูลนิธิหรือสมาคม หัก ณ ที่จ่าย 10% กำไรจากส่วนต่างราคา: ไม่ถูกหัก ณ ที่จ่าย แต่กำไรต้องนำไปคำนวณเป็นรายได้ในภาษีเงินได้ปลายปี ส่วนลดตราสารหนี้: หัก ณ ที่จ่าย 1% กรณีมูลนิธิหรือสมาคม หัก ณ ที่จ่าย 10% หมายเหตุ: ต้องนำไปคำนวณเป็นรายได้ ในภาษีเงินได้ปลายปี การนำรายได้จากตราสารมารวมในภาษีปลายปี เปรียบเสมือนการขอชำระภาษีตามฐานภาษีของตนเอง แทนการชำระในอัตราภาษี หัก ณ ที่จ่าย ผู้ลงทุนชาวต่างชาติที่เป็นบุคคลธรรมดา ดอกเบี้ยรับ: หัก ณ ที่จ่าย 15% กำไรจากส่วนต่างราคา: หัก ณ ที่จ่าย 15% ยกเว้นภาษี สำหรับตราสารหนี้ที่ไม่มีดอกเบี้ย ส่วนลดตราสารหนี้: หัก ณ ที่จ่าย 15% เฉพาะผู้ถือตราสารหนี้คนแรก ผู้ลงทุนชาวต่างชาติที่เป็นนิติบุคคล ดอกเบี้ยรับ: หัก ณ ที่จ่าย 15% ยกเว้นดอกเบี้ยของตราสารหนี้ภาครัฐ กำไรจากส่วนต่างราคา: หัก ณ ที่จ่าย 15% ยกเว้นดอกเบี้ยของตราสารหนี้ภาครัฐ ส่วนลดตราสารหนี้: หัก ณ ที่จ่าย 15% เฉพาะผู้ถือตราสารหนี้คนแรก ยกเว้นดอกเบี้ยของตราสารหนี้ภาครัฐ
1345141.txt
การประเมินมูลค่าหุ้นสามัญ 5. กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นสามัญ 5.1. การลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investing) * ลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic Value) * หุ้นที่ลงทุนมักมี PE, PB, ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม หรือ ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกิจการที่ทำธุรกิจคล้ายคลึงกัน ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) (อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล ≠ อัตราการจ่ายเงินปันผล) สูง 5.2. การลงทุนแบบเน้นการเติบโต (Growth Investing) * เน้นลงทุนในหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตของกำไรสูง * หุ้นที่ลงทุนมักมี PE, PB สูง และ Dividend Yield ต่ำ * ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างของราคา (Capital Gain) เป็นหลัก 5.3. การจับจังหวะตลาด (Market Timing) * เป็นการจับจังหวะซื้อ ขาย หรือสับเปลี่ยน เพื่อซื้อหุ้นในราคาถูกและขายแพง * การคาดการณ์แนวโน้มราคานี้เป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก และผู้ลงทุนมักมีค่าใช้จ่ายในการซื้อขายหุ้น (ค่าคอมมิชชั่น) สูงจากการที่ซื้อขายบ่อย * การจับจังหวะอาจทำระหว่างหุ้น A กับ หุ้น B, อุตสาหกรรม A กับ อุตสาหกรรม B, หรือระหว่างสินทรัพย์ เช่น หุ้น กับ ตราสารหนี้ * การจับจังหวะสามารถใช้ทั้งการวิเคราะห์ทางเทคนิค และการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เพื่อหาแนวโน้มของราคา 5.4. การซื้อแล้วถือยาว (Buy and Hold Strategy) * เป็นการซื้อและถือลงทุนระยะยาว * เชื่อว่าการเลือกบริษัทที่ดีแล้วถือยาว จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการซื้อขายบ่อยๆ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) = เงินปันผล / ราคาหุ้น อัตราการจ่ายเงินปันผล (Dividend Payout Ratio) = เงินปันผล / กำไร 5.5. การเลือกหมวดธุรกิจ (Sector Strategy) * เน้นลงทุนในหมวดธุรกิจที่เชื่อว่าจะมีการเติบโตที่ดีกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ * การลงทุนจะมีการกระจุกตัวในหมวดธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งสูง (การกระจายความเสี่ยงต่ำ) 5.6. การหยุดความเสียหาย (Stop Loss) * เป็นการลงทุนที่มีการตั้งจุดตัดขาดทุน เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายมากกว่าที่กำหนด เช่น การตั้งจุดขาดทุนที่ -5% หรือ -10% 5.7. การจับคู่หุ้น (Pairs Trading) * เป็นการซื้อและขายล่วงหน้า (Short Selling) หุ้น 2 บริษัท ที่โดยปกติแล้วจะมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (Correlation Coefficient : Corr) สูง (ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ สูง หมายถึง ลักษณะของผลตอบแทนของหุ้นทั้ง 2 บริษัท มีการเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกันอย่างมาก) * กลยุทธ์จับคู่หุ้น จะใช้เมื่อทิศทางของหุ้นทั้ง 2 บริษัท มีความผิดปกติ เช่น หุ้นหนึ่งขึ้นแต่อีกตัวกลับลง ผู้ใช้กลยุทธ์นี้จะขายล่วงหน้าหุ้นที่ขึ้นและซื้อหุ้นที่ลง เนื่องจากเชื่อว่าทิศทางของผลตอบแทนจะกลับเข้าหากันในระยะยาว 5.8. การลงทุนแบบสวนตลาด (Contrarian Investing Strategy) * เป็นการลงทุนในทิศทางที่ตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่ * เป็นการลงทุนโดยดูความรู้สึก (Sentiment) ของคนส่วนใหญ่ เช่น การซื้อในขณะที่ผู้ลงทุนส่วนใหญ่กำลังขายเนื่องความกังวลจากข่าวร้ายต่างๆ 5.9. การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (Dollar-Cost Averaging: DCA) * การซื้อหุ้นด้วยจำนวนเงินเท่าๆ กัน ตามกำหนดเวลา (เช่น ซื้อเท่าๆ กันทุกเดือน) โดยไม่สนใจว่าราคาจะเป็นเท่าไร * การซื้อด้วยเงินที่เท่ากัน ผู้ลงทุนจะได้หุ้นจำนวนที่มากขึ้นเมื่อหุ้นราคาต่ำลง และได้หุ้นจำนวนน้อยลงเมื่อราคาสูงขึ้น * ความเสี่ยงจากการลงทุนลดลง เนื่องจากผู้ลงทุนจะไม่นำเงินลงทุนก้อนใหญ่ไปซื้อหุ้นเมื่อมีราคาแพง แต่จะมีกระจายการซื้อในหลายๆ ระดับราคา
1345154.txt
ประเภทของธุรกิจและที่มาของเงินทุนในการทำธุรกิจ 2. ความหมายของตราสารทุน คือ ตราสารที่ผู้ลงทุนมีฐานะเป็นเจ้าของกิจการ โดยได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend) และส่วนต่างของมูลค่ากิจการที่เพิ่มขึ้น (Capital Gain) โดยตราสารทุนถือเป็นสินทรัพย์ทางการเงิน (Financial Asset) (สินทรัพย์ทางการเงิน (Financial Asset) คือ สินทรัพย์สภาพคล่อง ที่มีมูลค่าเนื่องจากการมีสิทธิเรียกร้องตามสัญญา เช่น หุ้น, ตราสารหนี้, เงินฝาก) ประเภทหนึ่ง
1345194.txt
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกองทุนรวม 1. ลักษณะของกองทุนรวม 1.1 ความหมายของกองทุนรวม กองทุนรวม คือ เครื่องมือการลงทุนทางอ้อมของผู้ลงทุน ที่มีหน้าที่นำเงินลงทุนจากผู้ลงทุนหลายๆ คน ไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ตามที่กำหนดในนโยบายการลงทุน เช่น หุ้น, ตราสารหนี้, อสังหาริมทรัพย์, ทองคำ เป็นต้น โดยมี “ผู้จัดการกองทุน (Fund Manager)” ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการลงทุนที่ผ่านการอบรมและการทดสอบทางการเงิน เป็นผู้บริหารจัดการกองทุน 1.2 โครงสร้างของการบริหารกองทุนรวมในไทย 1. บริษัทที่ทำธุรกิจขายกองทุนรวม คือ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) โดย บลจ. ต้องได้รับใบอนุญาตการประกอบกิจการจากกระทรวงการคลัง 2. ขั้นตอนการจัดตั้งและการเสนอขายกองทุนรวม 1) การจัดทำโครงการกองทุนรวม บลจ. ต้องแต่งตั้งผู้ดูแลผลประโยชน์ของกองทุนรวม และจัดทำหนังสือชี้ชวนเพื่อให้ข้อมูลกับผู้ลงทุน ซึ่งประกอบด้วยเอกสารดังนี้ * หนังสือชี้ชวนส่วนข้อมูลโครงการ คือ เอกสารที่มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกองทุนรวม เช่น ชื่อกองทุน, ชื่อ บลจ. ที่เสนอขายกองทุน, ประเภทกองทุน, นโยบายการลงทุน, นโยบายการจ่ายเงินปันผล, การขายและการรับซื้อคืน, ค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการ, ผู้ดูแลผลประโยชน์ของกองทุนรวม * หนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ (Fund Fact Sheet) เป็นเอกสารที่ให้ข้อมูลที่สำคัญกับผู้ลงทุน ซึ่งเอกสารนี้จะทำให้ผู้ลงทุนทราบว่า - คุณกำลังจะลงทุนอะไร - กองทุนรวมนี้เหมาะกับใคร - คุณต้องระวังอะไรเป็นพิเศษ - สัดส่วนของสินทรัพย์ที่ลงทุน - ค่าธรรมเนียมกองทุน - ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุน 2) ขออนุมัติจัดตั้งกองทุนจาก ก.ล.ต. ยื่นข้อมูลโครงการกองทุนรวมเพื่อขออนุมัติจาก ก.ล.ต. 3) เสนอขายกองทุนครั้งแรก (Initial Public Offering: IPO) มีรายละเอียดดังนี้ * ต้องแจกจ่ายหนังสือชี้ชวนเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจให้ผู้ลงทุน * ปกติราคาเสนอขายครั้งแรก คือ 10 บาท * ระยะเวลาเสนอขายครั้งแรกต้องไม่น้อยกว่า 2 วัน 4) จดทะเบียนกองทุน กับ ก.ล.ต. ซึ่งกองทุนรวมที่จดทะเบียนแล้วจะมีฐานะเป็น นิติบุคคล ที่มีวัตถุประสงค์ในการนำเงินไปลงทุนตามนโยบายการลงทุนที่กำหนดในหนังสือชี้ชวน ทั้งนี้กองทุนรวมที่เสนอขายกับผู้ลงทุนทั่วไปที่สามารถจดทะเบียนได้ต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้ * มีผู้ลงทุน ≥35 คน * ผู้ลงทุนสูงสุดต้องลงทุนไม่เกิน 1 ใน 3 ของมูลค่ากองทุน 5) การบริหารและการเสนอขายหลัง IPO * ต้องลงทุนตามนโยบายการลงทุน ที่กำหนดไว้ในโครงการหรือหนังสือชี้ชวนเท่านั้น * ไม่สามารถกู้ยืมได้ (มีหนี้จากค่าใช้จ่ายค้างจ่ายได้ แต่ไม่สามารถกู้ยืมได้) * ต้องคำนวณมูลค่าของสินทรัพย์ที่ลงทุนตามมูลค่าตลาด หรือมูลค่ายุติธรรมในกรณีไม่สามารถหามูลค่าตลาดได้ * ต้องประกาศมูลค่าของสินทรัพย์สุทธิของกองทุน (NAV) และมูลค่าสินทรัพย์สุทธิต่อหน่วย (NAV per unit) โดประกาศเป็นรายวันสำหรับกองทุนเปิด และรายเดือนสำหรับกองทุนปิด 1.3 ความหมายและการคำนวณ NAV และ NAV per unit 1. สินทรัพย์สุทธิของกองทุนรวม (Net Asset Value : NAV) แสดงถึงขนาดของสินทรัพย์สุทธิของกองทุนรวมที่ผู้บริหารกองทุนบริหารจัดการอยู่ ซึ่งมีสูตรการคำนวณดังนี้ NAV = มูลค่าตลาดของสินทรัพย์ทั้งหมด - หนี้สินทั้งหมด โดยที่มูลค่าตลาดของสินทรัพย์ทั้งหมด = มูลค่าตลาดของสินทรัพย์ที่ลงทุน + รายได้ค้างรับ + เงินสด 2. สินทรัพย์สุทธิต่อหน่วย (NAV per unit) เปรียบเสมือนราคาของกองทุน ซึ่งมีสูตรการคำนวณดังนี้ NAV per unit = NAV / จำนวนหน่วยของกองทุน 1.4 ความสำคัญและประโยชน์ของกองทุนรวม เนื่องจากกองทุนรวมเป็นเครื่องมือที่ช่วยรวบรวมเงินจากผู้ลงทุน ไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ซึ่งสร้างความสำคัญและประโยชน์ต่อด้านต่างๆ ดังนี้ ระบบเศรษฐกิจ * นำเงินลงทุนกระจายสู่ผู้ที่ต้องการเงินทุน * เกิดการขยายกิจการ การจ้างงาน การจับจ่ายใช้สอย * ส่งผลบวกต่อการเติบโต GDP และเศรษฐกิจ ตลาดการเงิน * เพิ่มเครื่องมือการลงทุน * ขยายกลุ่มผู้ลงทุนใหม่ๆ * เกิดการขยายตัวของตลาดการเงิน ผู้ลงทุน * ช่วยลดเวลาการติดตามการลงทุน เนื่องจากมีผู้เชี่ยวชาญช่วยดูแล * เงินลงทุนน้อย (ส่วนใหญ่ใช้เงินเริ่มต้นลงทุนเพียง 500 – 1000 บาท) แต่กระจายการลงทุนได้ เนื่องจากกองทุนมักนำเงินไปลงทุนในหลักทรัพย์หลากหลาย ทำให้มีการกระจายการลงทุนที่ดี 1.5 ข้อดีและข้อเสียของกองทุนรวม 1. ข้อดี 1) มีผู้จัดการกองทุนช่วยบริหารจัดการ โดยผู้จัดการกองทุนต้องผ่านคุณสมบัติและการทดสอบทางการลงทุน รวมทั้งได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. 2) ใช้เงินลงทุนน้อย ปัจจุบันเงินลงทุนขั้นต่ำอยู่ที่ประมาณ 500 - 1,000 บาท 3) มักมีการกระจายการลงทุนที่ดี ผู้จัดการกองทุนก็จะแบ่งเงินเป็นส่วนๆ ไปลงทุนในหลักทรัพย์ที่กำหนดในหนังสือชี้ชวน ซึ่งโดยปกติจะลงทุนในหลักทรัพย์มากกว่า 20 – 30 หลักทรัพย์ 4) มีโนบายการลงทุนหลากหลาย เช่น ลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ ลงทุนผสม ลงทุนในต่างประเทศ เป็นต้น 5) ช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการซื้อขายหลักทรัพย์ เนื่องจากมีผู้จัดการกองทุนช่วยในการบริหาร รวมถึงการต่อรองค่าใช้จ่ายในการซื้อขายหลักทรัพย์ 6) มีสภาพคล่องที่ดี ผู้ลงทุนสามารถซื้อ/ขายคืนกองทุนได้กับบริษัทจัดการลงทุน และตัวแทนขายของบริษัทจัดการลงทุน 7) ได้ผลประโยชน์ทางภาษี เช่น การลงทุนในกองทุน LTF, RMF (LTF และ RMF เป็นกองทุนรวมประเภทหนึ่ง ที่ให้สิทธิลดหย่อนภาษีกับผู้ลงทุน) 8) กองทุนรวมเป็นผู้ลงทุนสถาบัน มีอำนาจต่อรองและมีโอกาสการลงทุนในหลักทรัพย์ที่ขายให้กับเฉพาะผู้ลงทุนสถาบัน เช่น การได้สิทธิซื้อหุ้น IPO (หุ้น IPO (Initial Public Offering) คือ หุ้นที่เสนอขายให้กับประชาชนครั้งแรก), การได้สิทธิซื้อพันธบัตรที่ขายให้เฉพาะผู้ลงทุนสถาบัน 9) มีกลไกปกป้องผู้ลงทุน มี ก.ล.ต. ทำหน้าที่กำกับดูแล และออกกฎระเบียนต่างๆ 2. ข้อเสีย 1) มีค่าธรรมเนียม บริษัทจัดการมีรายได้จากการเก็บค่าธรรมเนียนต่างๆ จากผู้ลงทุน 2) การลงทุนไม่ยืดหยุ่น แม้ว่าผู้ลงทุนสามารถเลือกกองทุนได้หลากหลายประเภท แต่ผู้จัดการกองทุนจะเป็นผู้คัดเลือกหลักทรัพย์ที่จะลงทุน ทั้งนี้การได้รับมติข้างมากจากผู้ลงทุน จะสามารถเปลี่ยนแปลงรายละเอียดและนโยบายการลงทุนในหนังสือชี้ชวนได้ 3) ข้อมูลการลงทุนที่ไม่ทันสมัย เนื่องจากบริษัทจัดการลงทุนจะมีการอัพเดทข้อมูลที่สำคัญของกองทุน เพียงเดือนละครั้ง และจะอัพเดทข้อมูลที่ละเอียดทุกครึ่งปี ดังนั้นข้อมูลที่ผู้ลงทุนใช้ประกอบการตัดสินใจจะไม่ใช่ข้อมูล ณ วันที่ปัจจุบัน 4) การพึ่งพาผู้จัดการกองทุน เนื่องจากผลการดำเนินงานของกองทุนขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้จัดการกองทุน ดังนั้นผลการดำเนินงานของกองทุนอาจมีการเปลี่ยนแปลงหากมีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการกองทุน 5) ไม่มีสิทธิออกเสียงในฐานะผู้ถือหุ้น ในกรณีที่ลงทุนในหุ้นโดยตรง ผู้ลงทุนจะมีสิทธิในการออกเสียงในฐานะผู้ถือหุ้น แต่ในกรณีที่ลงทุนในหุ้นผ่านกองทุนรวม ผู้ลงทุนจะไม่มีสิทธิดังกล่าว โดยผู้จัดการกองทุนจะเป็นผู้มีสิทธิการออกเสียงแทนผู้ลงทุน 1.6 วิธีการบริหารการลงทุนของกองทุนรวม แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1. บริหารแบบเชิงรุก (Active Management) เป้าหมายการลงทุน: สร้างผลตอบแทนสูงกว่าตลาด วิธีการลงทุน: วิเคราะห์ข้อมูลและตัดสินใจลงทุน ความเชื่อ: ตลาดหลักทรัพย์ไม่มีประสิทธิภาพ สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าตลาดในระยะยาว ค่าธรรมเนียมการบริหารกองทุน: สูง การพึ่งพาความสามารถผู้จัดการกองทุน: สูง 2. บริหารแบบเชิงรับ (Passive Management) เป้าหมายการลงทุน: สร้างผลตอบแทนใกล้เคียงตลาด วิธีการลงทุน: ลงทุนตามหลักทรัพย์ในตลาด ความเชื่อ: ตลาดหลักทรัพย์มีประสิทธิภาพ ไม่มีใครสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าตลาดในระยะยาว ค่าธรรมเนียมการบริหารกองทุน: ต่ำ การพึ่งพาความสามารถผู้จัดการกองทุน: ต่ำ 1. ตัวอย่างกลยุทธ์การลงทุนแบบเชิงรุก (Active Management) * กลยุทธ์การลงทุนแบบ Growth Style เน้นลงทุนในบริษัทที่มีการเติบโตของยอดขายหรือกำไรสูง * กลยุทธ์การลงทุนแบบ Value Style เน้นลงทุนในบริษัทที่มีราคาถูก โดยมักวัดจากอัตราส่วน PE และ PB ที่ต่ำ หรือ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ที่สูง * กลยุทธ์การลงทุนแบบ Blend Style ลงทุนผสมผสานทั้ง Growth และ Value * กลยุทธ์การลงทุนตามขนาดมูลค่าตลาด (Market Capital) เช่น การเน้นลงทุนในหุ้นเล็ก (Small Capitalization), การเน้นลงทุนในหุ้นกลาง (Medium Capitalization), การเน้นลงทุนในหุ้นใหญ่ (Large Capitalization) 2. ตัวอย่างกลยุทธ์การลงทุนแบบเชิงรับ (Passive Management) * การลงทุนตามดัชนีหุ้น เช่น ลงทุนตามดัชนี SET50, S&P500 * การลงทุนตามดัชนีตราสารหนี้ เช่น ลงทุนตามดัชนี Government Bond, Corporate Bond * การลงทุนตามราคาโลหะหรือสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ลงทุนทองทำแท่งเพื่อสร้างผลตอบแทนตามการเปลี่ยนแปลงของราคาทองคำแท่ง
1345158.txt
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 10. ดัชนีหลักทรัพย์ 10.1 ความหมายและการนำไปใช้ประโยชน์ของดัชนีหลักทรัพย์ ดัชนีหลักทรัพย์ คือ ค่าทางสถิติที่ใช้วัดภาพรวมการเปลี่ยนแปลงของราคาหลักทรัพย์ ซึ่งนำมาใช้ประโยชน์ได้ดังนี้ * ใช้ในการดูการเคลื่อนไหวโดยรวม * ใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐานในการเปรียบเทียบกองทุน * ใช้อ้างอิงในการออกสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือออกตราสารการเงินต่างๆ 10.2 ประเภทของดัชนีหลักทรัพย์ แบ่งตามหลักเกณฑ์ในการคำนวณได้ 3 ประเภท 1. ดัชนีราคาหุ้นถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าตลาด (Market Capitalization Weight Index) (มูลค่าตลาด มูลค่าปัจจุบันของหุ้น เช่น หุ้นของบริษัท AAA ในปัจจุบัน มีมูลค่าเท่ากับ 1,500 ล้านบาท โดยมูลค่าตลาดเท่ากับ ราคาตลาด x จำนวนหุ้น เช่น บริษัท AAA มีราคา หุ้นที่ 15 บาทต่อหุ้น และมีจำนวนหุ้นทั้งหมด 100 ล้านหุ้น ดังนั้นมูลค่าตลาด เท่ากับ 15x100 = 1,500) การเคลื่อนไหวของดัชนีประเภทนี้จะแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าตลาดโดยรวม โดยหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าตลาดสูงจะมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของดัชนีมากกว่าหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าตลาดต่ำ ตัวอย่างของดัชนีหลักทรัพย์ประเภทนี้ ได้แก่ SET Index ของไทย, Hang Seng Index ฮ่องกง, Straits Times Index สิงคโปร์, NYSE Index สหรัฐฯ 2. ดัชนีราคาหุ้นถ่วงน้ำหนักด้วยราคาตลาด (Price Weight Index) เป็นดัชนีที่คำนวณโดยการหาค่าเฉลี่ยของราคาหลักทรัพย์ในแต่ละวัน ซึ่งส่งผลให้หลักทรัพย์ที่มีราคาสูงจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของดัชนีมากกว่าหลักทรัพย์ที่มีราคาต่ำ ตัวอย่างของดัชนีราคาหุ้นประเภทนี้ ได้แก่ NIKKEI 225 ของญี่ปุ่น, Dow Jones ของสหรัฐฯ 3. ดัชนีราคาหุ้นไม่ถ่วงน้ำหนัก (Equally Weight Index) เป็นดัชนีที่คำนวณโดยการหาค่าเฉลี่ยของเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงของราคาหลักทรัพย์ในแต่ละวัน ซึ่งทำให้หลักทรัพย์ทุกตัวส่งผลกระทบต่อดัชนีเท่ากัน 4. ดัชนีราคาหุ้นถ่วงน้ำหนักด้วยปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental weight index) เป็นดัชนีที่ถ่วงน้ำหลักด้วยปัจจัยพื้นฐานของหลักทรัพย์ เช่น รายได้, กำไร, มูลค่าทางบัญชี ซึ่งส่งผลให้หลักทรัพย์ที่มีปัจจัยพื้นฐานดีจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของดัชนีมากกว่าหลักทรัพย์ที่มีพื้นฐานไม่ดี 10.3 ดัชนีที่จัดทำโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 1. ดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ดัชนีที่สะท้อนการเคลื่อนไหวของหุ้นทั้งหมดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดย SET Index เป็นดัชนีประเภท Market Capitalization Weight Index 2. ดัชนีราคา MAI (Market for Alternative Investment) ดัชนีที่สะท้อนการเคลื่อนไหวของหุ้นทั้งหมดในตลาด MAI ซึ่งเป็นหุ้นขนาดเล็กที่มีโอกาสในการเติบโตสูง โดย MAI Index เป็นดัชนีประเภท Market Capitalization Weight Index 3. ดัชนีราคากลุ่มอุตสาหกรรมและดัชนีหมวดธุรกิจ (Industry Index & Sector Index) ดัชนีที่สะท้อนการเคลื่อนไหวของหุ้นทั้งในกลุ่มอุตสาหกรรม/หมวดธุรกิจ เช่น ดัชนีอุตสาหกรรมการเงิน, ดัชนีหมวดธุรกิจธนาคาร, ดัชนีอุตสาหกรรมบริการ, ดัชนีหมวดธุรกิจการท่องเที่ยวและสันทนาการ โดย Industry Index & Sector Index เป็นดัชนีประเภท Market Capitalization Weight Index 4. ดัชนีราคา SET50 ดัชนีที่สะท้อนการเคลื่อนไหวของหุ้น 50 หลักทรัพย์ ซึ่งคัดเลือกจากหุ้นมีที่มูลค่าตลาด (Market Capitalization) สูงและมีสภาพคล่องในการซื้อขาย โดยจะมีการทบทวนหลักทรัพย์ใน SET50 Index ทุก 6 เดือน (มิ.ย. และ ธ.ค.) ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงของ SET50 Index นี้ มักมีเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงใกล้เคียงกับ SET Index โดย SET50 Index เป็นดัชนีประเภท Market Capitalization Weight Index 5. ดัชนีราคา SET100 ดัชนีที่สะท้อนการเคลื่อนไหวของหุ้น 100 หลักทรัพย์ ซึ่งจะคัดเลือกจากหุ้นมีที่มูลค่าตลาด (Market Capitalization) สูงและมีสภาพคล่องในการซื้อขาย ด้วยเกณฑ์การคัดเลือกหุ้นที่เหมือน SET50 ส่งผลให้หุ้นทั้ง 50 หลักทรัพย์ของ SET50 อยู่ใน SET100 ด้วยเช่นกัน โดย SET100 Index เป็นดัชนีประเภท Market Capitalization Weight Index 6. ดัชนีราคา SETHD (Set High Dividend 30 Index) ดัชนีที่สะท้อนการเคลื่อนไหวของหุ้น 30 หลักทรัพย์ ซึ่งคัดเลือกจากหุ้นมีที่มูลค่าตลาด (Market Capitalization) สูงและมีสภาพคล่องในการซื้อขาย รวมถึงอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงและต่อเนื่อง โดยทั้ง 30 หลักทรัพย์จะคัดเลือกจากหลักทรัพย์ใน SET100 และจะมีการทบทวนหลักทรัพย์ใน SETHD Index ทุก 6 เดือน (มิ.ย. และ ธ.ค.) โดย SETHD Index เป็นดัชนีประเภท Market Capitalization Weight Index ผสมกับ Fundamental Weight Index 7. ดัชนีราคา sSET ดัชนีที่สะท้อนความเคลื่อนไหวของหุ้นที่มีสภาพคล่องในการซื้อขายสม่ำเสมอและมีสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อยตามที่กำหนด และเป็นหุ้นที่อยู่นอกเหนือ SET100 โดย sSET Index เป็นดัชนีประเภท Market Capitalization Weight Index 8. FTSE SET Index Series เป็นดัชนีที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทำร่วมกับ FTSE Group เพื่อสร้างดัชนีที่มีมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยจะมีการทบทวนดัชนีทุก 6 เดือน (มิ.ย. และ ธ.ค.) 1) เกณฑ์ในการคัดเลือกหลักทรัพย์ในดัชนี * มูลค่าตลาดของหลักทรัพย์ (Market Cap.) * จำนวนหุ้นที่ถือโดยผู้ลงทุนรายย่อย (Free Float) เนื่องจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ไม่ค่อยมีการซื้อขายหุ้น ดังนั้นหุ้นที่ผู้ลงทุนสามารถซื้อขายกันในตลาดจริงๆ มักเป็นหุ้นที่ถือโดยผู้ถือหุ้นรายย่อย * สภาพคล่องในการซื้อขาย (Liquidity) 2) ดัชนี FTSE SET Series ประกอบด้วยดัชนีย่อยที่หลากหลาย ดังนี้ FTSE SET All-Share: หลักทรัพย์ที่ผ่านเกณฑ์คัดเลือก และมี Market Cap รวมกันได้ 98% ของหลักทรัพย์ทั้งหมดที่ผ่านเกณฑ์ FTSE SET Fledging: หลักทรัพย์ที่ผ่านเกณฑ์คัดเลือก และมี Market Cap รวมกันเป็น 2% ที่เหลือ FTSE SET Large Cap: หลักทรัพย์ที่ผ่านเกณฑ์คัดเลือก ที่มี Market Cap สูงสุด 30 อันดับแรก FTSE SET Mid Cap: หลักทรัพย์ที่ผ่านเกณฑ์คัดเลือก ที่มี Market Cap อันดับที่ 31 ถึงหลักทรัพย์ที่ทำให้ Market Cap รวมกันได้ 90% ของหลักทรัพย์ทั้งหมดที่ผ่านเกณฑ์ FTSE SET Small Cap: หลักทรัพย์ที่ผ่านเกณฑ์คัดเลือก ที่มี Market Cap 91% - 98% ของหลักทรัพย์ทั้งหมดที่ผ่านเกณฑ์ FTSE SET Mid/Small Cap: หลักทรัพย์ที่อยู่ในดัชนี FTSE SET Mid Cap รวมกับ ดัชนี FTSE SET Small Cap FTSE SET Shariah Cap: เป็นดัชนีที่คัดเลือกหลักทรัพย์ตามหลักของศาสนาอิสลาม ซึ่งไม่ขัดกับหลักชาริอะฮ์ (กฎหมายและจริยธรรมอิสลาม) เช่น ธุรกิจแอลกอฮอล์, ดนตรี, โรงภาพพยนต์, อาวุธ โดยจะคัดเลือกหลักทรัพย์จากดัชนี FTSE SET All-Share FTSE SET Industry: ดัชนีกลุ่มอุตสาหกรรมตามมาตรฐาน Industry Classification Benchmark (ICB) ซึ่งประกอบด้วย 10 กลุ่มอุตสาหกรรม FTSE SET Super Sector: ดัชนีหมวดธุรกิจหลัก 19 หมวด FTSE SET Sector: ดัชนีหมวดธุรกิจย่อย 39 หมวด 10.4 รูปแบบของดัชนี 1. ดัชนีราคา (Price Index) เป็นดัชนีที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของมูลค่า หรือราคาของหลักทรัพย์ภายใต้ดัชนี อย่างไรก็ตาม Price Index ไม่ได้สะท้อนผลตอบจากการเงินปันผล 2. ดัชนีผลตอบแทนรวม (Total Return Index) เป็นดัชนีที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงมูลค่า หรือราคาของหลักทรัพย์ รวมถึงเงินปันผลของหลักทรัพย์และสิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุน
1345190.txt
การซื้อขายตราสารหนี้ในไทย 2. กระบวกการออกตราสารหนี้ (ในตลาดแรก) 2.1 การออกตราสารหนี้ภาครัฐ (ตั๋วเงินคลัง, พันธบัตรรัฐบาล, พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย) 1. กระบวนการออก * ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้จัดการประมูล * ธนาคารแห่งประเทศไทยจะประกาศตารางการประมูลทุกปลายเดือนในเว็บไซต์ * สมาคมตราสารหนี้ เป็นผู้กำหนดสัญลักษณ์ของตราสาร 2. การจัดจำหน่าย 1) การประมูล มี 2 วิธี ดังนี้ * การประมูลแบบแข่งขันราคา (Competitive biding) เปิดให้กับผู้มีสิทธิเข้าประมูล เสนออัตราผลตอบแทน (Yield) ของตราสาร โดยผู้ที่เสนออัตราผลตอบแทนต่ำสุดจะได้รับการจัดสรรตราสารก่อน (การที่ผู้ลงทุนได้อัตราผลตอบแทนต่ำสุด อีกมุมมองหนึ่งหมายถึงการที่ผู้ออกตราสารจ่ายดอกเบี้ยต่ำสุดนั่นเอง) จากนั้นตราสารที่เหลือจะถูกจัดสรรให้กับผู้ที่เสนออัตราผลตอบแทนต่ำสุดลำดับถัดไป จะเห็นได้ว่าการประมูลลักษณะนี้ผู้ลงทุนแต่ละรายจะได้อัตราผลตอบแทนจาก ตราสารไม่เท่ากัน ซึ่งการประมูลลักษณะนี้เรียกว่า (Multiple Price/American Auction) * การประมูลแบบไม่แข่งขันราคา (Non-competitive biding) วิธีการนี้ผู้ประมูลไม่ต้องเสนออัตราผลตอบแทน แต่จะได้รับตราสารในอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยของการประมูล โดยจะจัดสรรตราสารให้ไม่เกิน 20% ของวงเงินที่ประมูลทั้งหมด โดยการประมูลวิธีนี้จะเปิดให้กับองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร ซึ่งไม่มีความเชี่ยวชาญในการประมูล เช่น มูลนิธิ, สหกรณ์, วัด 2) การจองซื้อ (สำหรับผู้ที่ไม่มีสิทธิเข้าประมูล) แบ่งตามประเภทผู้ลงทุนได้ดังนี้ * ผู้ลงทุนสถาบันที่ไม่มีสิทธิเข้าประมูล สามารถฝากให้สถาบันการเงินที่มีสิทธิเข้าทำการประมูลให้กับตนเองได้ * ผู้ลงทุนทั่วไป ก็สามารถฝากให้สถาบันการเงินที่มีสิทธิเข้าทำการประมูลให้กับตนเองได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามการฝากประมูลมักมีเงินลงทุนขั้นต่ำที่สูง ดังนั้นผู้ลงทุนทั่วไปมักลงทุนผ่านพันธบัตรออมทรัพย์ที่เสนอขายให้กับประชาชนโดยตรงมากกว่าการฝากประมูล 2.2 การออกพันธบัตรรัฐวิสาหกิจ 1. กระบวนการออก * สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เป็นผู้จัดการประมูล * สำนักงานบริหารหนี้สาธารณจะประกาศตารางการประมูลเมื่อมีการออกพันธบัตรรัฐวิสาหกิจ * สมาคมตราสารหนี้ เป็นผู้กำหนดสัญลักษณ์ของพันธบัตร * กรณีออกพันธบัตรรัฐวิสาหกิจที่ไม่มีกระทรวงการคลังค้ำประกัน ต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. ซึ่งจะกำกับดูแลลักษณะเดียวกับการออกตราสารหนี้ภาคเอกชน 2. การจัดจำหน่าย 1) การประมูล เปิดให้กับผู้มีสิทธิเข้าประมูล เสนออัตราผลตอบแทน (Yield) ของตราสาร โดยผู้ที่เสนออัตราผลตอบแทนต่ำสุดจะได้รับการจัดสรรตราสารทั้งหมด ดังนั้นประมูลลักษณะนี้จะมีอัตราผลตอบแทนเดียว ซึ่งเรียกว่า (Common Price/Dutch Auction) 2) การจองซื้อพันธบัตรรัฐวิสาหกิจ สำหรับพันธบัตรออมทรัพย์ที่ออกโดยรัฐวิสาหกิจนั้น จะเปิดให้ประชาชนทั่วไปลงทุนได้ โดยสามารถจองซื้อผ่านตัวแทนการจัดจำหน่าย เช่น ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย, ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร 2.3 การออกตราสารหนี้ภาคเอกชน 1. ตราสารหนี้ภาคเอกชนที่สามารถออกเสนอขายได้ มีดังนี้ 1) หุ้นกู้ทุกประเภท 2) ตั๋วเงิน ซึ่งหมายถึงตั๋วแลกเงินที่ออกโดยบริษัทเอกชนที่ออกเพื่อจัดหาเงินทุนจากประชาชนทั่วไป ดังนั้นจึงไม่รวมตั๋วเงินที่ออกเพื่อชำระหนี้การค้าและตั๋วเงินที่ออกเพื่อกู้ยืมจากสถาบันการเงิน 2. ขั้นตอนและหลักเกณฑ์ในการออก มีดังนี้ 1) บริษัทขออนุมัติการออกหุ้นกู้จากที่ประชุมผู้ถือหุ้น หรือ การออกตั๋วเงินจากคณะกรรมการบริษัท 2) จัดหาที่ปรึกษาทางการเงิน, ที่ปรึกษาทางกฎหมาย และผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ 3) จัดเตรียมและตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล (Due Diligence) 4) กำหนดประเภทและรายละเอียดต่างๆ ของตราสารหนี้ 5) จัดทำแบบรายงานข้อมูลและหนังสือชี้ชวน 6) จัดอันดับความน่าเชื่อถือตราสาร 7) ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและหนังสือชี้ชวน เพื่อขออนุญาตจาก ก.ล.ต. 8) ทำการตลาดและเสนอขายตราสารหนี้ 9) ขึ้นทะเบียนตราสารหนี้กับสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย
1345137.txt
การวิเคราะห์และกลยุทธ์การลงทุนในกองทุนรวม 2. กลยุทธ์การลงทุนในกองทุนรวม 2.1 กลยุทธ์การจัดสรรสินทรัพย์ลงทุน (Asset Allocation) คือ กลยุทธ์การกระจายการลงทุนไปยังกองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท เพื่อสร้างกลุ่มสินทรัพย์หรือพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับผู้ลงทุน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 1. การกำหนดสัดส่วนสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ (Strategic Asset Allocation: SAA) (การกำหนดสัดส่วนสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ (Strategic Asset Allocation: SAA) บางตำราเรียกว่า การกำหนดสินทรัพย์การลงทุนระยะยาว) คือ การกำหนดสัดส่วนการลงทุนในแต่ละสินทรัพย์ที่ตั้งใจจะลงทุนในระยะยาว 2. ประเภทของกองทุนในพอร์ตการลงทุน เมื่อได้สัดส่วนของแต่ละสินทรัพย์แล้วขั้นต่อไปคือ ผู้ลงทุนต้องเลือกกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนในสินทรัพย์ให้สอดคล้องกับ SAA แต่นอกจากการเลือกสินทรัพย์ที่สอดคล้องแล้ว ผู้ลงทุนต้องเลือกว่าจะลงทุนในกองทุนที่บริหารแบบ Passive หรือ Active อีกด้วย 1) กลยุทธ์ที่ลงทุนในกองทุนหลัก (Core Fund) เป็นกลยุทธ์ที่เลือกกองทุนแบบ Passive ทั้งหมด เพื่อสร้างผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีที่สุด โดยวิธีนี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการเลือกกองทุนผิดที่สร้างผลตอบแทนได้ต่ำกว่าดัชนี 2) กลยุทธ์ที่ลงทุนในกองทุนหลักและบริวาร (Core & Satellite) เป็นกลยุทธ์ที่เลือกกองทุนแบบ Passive เป็นส่วนใหญ่ (ประมาณ 80% - 90% ของพอร์ตการลงทุน) และ ส่วนที่เหลือจะเลือกกองทุนแบบ Active เพื่อคาดหวังผลตอบแทนที่สูงกว่าดัชนี (Alpha) กลยุทธ์แบบ Core & Satellite นี้หากผู้ลงทุนเลือกกอง Active ได้ดีก็จะสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าดัชนี แต่หากเลือกกอง Active พลาด ผลตอบแทนก็จะต่ำกว่าดัชนีไม่มาก เนื่องจากเงินส่วนใหญ่ยังคงลงทุนในกอง Passive 3. การกำหนดกรอบการปรับสัดส่วนการลงทุนตามภาวะการลงทุน (Tactical Asset Allocation: TAA) หลังจากกำหนด SAA แล้ว ผู้ลงทุนอาจกำหนด TAA เพื่อใช้ในการปรับสัดส่วนการลงทุนเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมการลงทุน หลักการ TAA คือ ถ้าคาดว่าสินทรัพย์ใดจะให้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคต ก็จะลงทุนในสินทรัพย์นั้นเพิ่มเติมจากที่กำหนดใน SAA แต่อย่างไรก็ตาม การเพิ่มการลงทุนนั้นจะไม่แตกต่างจาก SAA มากเกินไป เช่น จะไม่เปลี่ยนจากตราสารทุน 50% เป็น 100% เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะเพิ่มความเสี่ยงในการลงทุนอย่างมาก (อาจเกินกว่าระดับความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนรับได้) และหากคาดการณ์ผิดจะเกิดผลเสียหายรุนแรงเกินกว่าที่ผู้ลงทุนจะรับได้ 4. การปรับสัดส่วนลงทุนเข้าสู่สมดุล (Portfolio Rebalancing) เมื่อลงทุนไปได้ระยะเวลาหนึ่งผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากแต่ละสินทรัพย์ซึ่งแต่ละสินทรัพย์มักให้ผลตอบแทนไม่เท่ากัน ส่งผลให้สัดส่วนการลงทุนแตกต่างไปจากสัดส่วนการลงทุนที่ตั้งใจไว้ ผู้ลงทุนจึงควรทำ Portfolio Rebalancing เพื่อให้สัดส่วนของแต่ละสินทรัพย์กลับเข้าสู่สมดุล โดยทั่วไปการทำ Portfolio Rebalancing มี 2 รูปแบบ ดังนี้ 1) การปรับตามระยะเวลา เช่น การทำ Rebalancing ทุก 6 เดือน หรือ ทุก 1 ปี 2) การปรับเมื่อสัดส่วนเปลี่ยนแปลงเกินกำหนด เช่น การทำ Rebalancing เมื่อตราสารทุนเปลี่ยนแปลงต่างจากที่ตั้งใจไว้เกิน 5% 5. การปรับสัดส่วนสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ โดยปกติแล้วผู้ลงทุนจะไม่ปรับ SAA แต่ในบางครั้งอาจมีความจำเป็นหากมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่สร้างผลกระทบระยะยาว เช่น * ปัจจัยเกี่ยวกับผู้ลงทุนเปลี่ยนแปลง เช่น การสมรส, การมีบุตร, การสูญเสียคนในครอบครัว, การเปลี่ยนแปลงเป้าหมายและวัตถุประสงค์การลงทุน * ผลตอบแทนหรือความเสี่ยงระยะยาวของสินทรัพย์เปลี่ยนแปลง เช่น การที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากปรับตัวลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับอดีตที่ให้ผลตอบแทนกว่า 10% ต่อปี 2.2 กลยุทธ์การเข้าซื้อและขาย แบ่งออกเป็น 3 กลยุทธ์ ดังนั้น 1. Market timing (การจับจังหวะลงทุน) เป็นการตัดสินใจซื้อ/ขาย โดยการคาดแนวโน้มของสิ่งที่จะลงทุนในอนาคต เช่น หากคาดว่ากองทุนหุ้นจะดีในอนาคตก็จะเข้าซื้อ และหากคาดว่าไม่ดีก็จะขาย จะเห็นได้ว่าผู้ลงทุนวิธีนี้มีความเชื่อมั่นในการคาดการณ์ของตนเอง และต้องการผลตอบแทนสูงสุดจะเลือกวิธีเข้าลงทุนวิธีนี้ 2. Dollar-cost Averaging: DCA (การลงทุนสม่ำเสมอ) วิธีนี้มักใช้กับการเข้าซื้อ โดยเป็นการซื้อด้วยจำนวนเงินเท่าๆ กัน ในช่วงเวลาที่กำหนด เช่น การซื้อกองทุน 10,000 บาท ในวันที่ 25 ของทุกเดือน ด้วยวิธีการนี้เมื่อราคากองทุนแพงผู้ลงทุนก็จะได้หน่วยจำนวนน้อย และเมื่อราคากองทุนถูกก็จะได้หน่วยจำนวนมาก ทำให้ต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วยต่ำลง นอกจากนี้วิธี DCA ยังช่วยเพิ่มวินัยการลงทุนและส่งผลต่อจิตวิทยา เนื่องจากเมื่อราคากองทุนลดลงผู้ลงทุนจะรู้สึกว่าตนเองจะได้จำนวนหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้น 3. Combined Method (ผสม) เป็นวิธีที่ผสมระหว่าง Market timing และ DCA เช่น * ตั้งใจจะลงทุนปีละ 120,000 บาท โดย DCA เดือนละ 5,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 60,000 บาท ใช้วิธี Market timing * ตั้งใจจะลงทุนเดือนละ 10,000 บาท แต่จะเป็นวันไหนของเดือนจะ Market timing อีกที
1345156.txt
ผลตอบแทนและความเสี่ยงของกองทุนรวม 3. ความเสี่ยงของกองทุนรวม 3.1 ประเภทของความเสี่ยงของกองทุนรวม 1. ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคากองทุน (Market risk) คือ ความผันผวนของราคาหรือมูลค่าหน่วยลงทุน ซึ่งความผันผวนของราคากองทุนเกิดจากความผันผวนของสินทรัพย์ที่กองทุนไปลงทุนนั้นเอง โดยระดับความผันผวนสามารถวัดได้ด้วยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) 2. ความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ (Credit risk) เกิดขึ้นเมื่อกองทุนลงทุนในตราสารหนี้ โดยความเสี่ยงนี้สามารถวัดได้ด้วย Credit Rating Score 3. ความเสี่ยงจากการกระจุกตัว (Concentration risk) การกระจุกตัวสามารถมองได้หลายระดับดังนี้ * ระดับสินทรัพย์ การลงทุนในสินทรัพย์เดียวจะมีความกระจุกตัวมากกว่าหลายสินทรัพย์ * ระดับกลุ่มอุตสาหกรรม การลงทุนในอุตสาหกรรมเดียวจะมีความกระจุกตัวมากกว่าหลายอุตสาหกรรม * ระดับหลักทรัพย์ การลงทุนในหลักทรัพย์เดียว (เช่น ลงทุนในหุ้นตัวเดียว) จะมีความกระจุกตัวมากกว่าหลายหลักทรัพย์ โดยกองทุนที่มีความเสี่ยงของการกระจุกตัวสูง มักจะทำให้มี Market risk สูงไปด้วย 4. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity risk) แบ่งออกเป็น 2 ระดับดังนี้ * ระดับกองทุน กองทุนที่สามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการจะมีสภาพคล่องดีกว่า กองทุนที่ซื้อขายได้ทุกสัปดาห์ หรือกองทุนที่มีกำหนดระยะเวลาถือครอง * ระดับหลักทรัพย์ที่กองทุนนำเงินไปลงทุน กองทุนที่นำเงินไปลงทุนในหลักทรัพย์ที่สภาพคล่องน้อย หากมีลูกค้าที่การขายคืนหน่วยลงทุนจำนวนมาก เช่น มีเหตุให้ตื่นตระหนกและขายเทกองทุน (Panic Sell) ทำให้กองทุนต้องขายหลักทรัพย์ที่มีสภาพคล่องน้อย (การต้องรีบขายหลักทรัพย์ที่มีสภาพคล่องน้อย ทำให้กองทุนต้องขายในราคาที่ต่ำกว่าราคาที่ควรจะเป็น ส่งผลเสียต่อมูลค่ากองทุน) เพื่อนำเงินมาให้ผู้ลงทุน 5. ความเสี่ยงจากการลงทุนต่อ (Reinvestment risk) แบ่งออกเป็น 2 ระดับดังนี้ * ระดับกองทุน การลงทุนในกองทุนที่กำหนดเวลา เช่น Term Fund, Trigger Fund เมื่อครบกำหนดเวลาหรือครบตามเงื่อนไขการปิดกองทุน ผู้ลงทุนจะได้รับเงินคืน ทำให้มีความเสี่ยงในการลงทุนต่อ * ระดับหลักทรัพย์ การที่กองทุนลงทุนในหลักทรัพย์ที่กำหนดอายุโดยเฉพาะกำหนดสั้น เช่น ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น ก็จะมี Reinvestment risk สูง 6. ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Exchange rate risk / Currency risk) เกิดขึ้นเมื่อกองทุนนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ด้วยสกุลเงินต่างประเทศ (การลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศในด้วยสกุลเงินในประเทศ จะไม่มีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน) 7. ความเสี่ยงจากผู้จัดการกองทุน (Fund manager risk) ความเสี่ยงด้านนี้จะสูงหากกองทุนบริหารแบบเชิงรุก (Active Management) ซึ่งมีการพึ่งพาความสามารถของผู้จัดการกองทุน โดยผู้จัดการกองทุนอาจตัดสินลงทุนใจผิดพลาด, เกิดอุบัติเหตุ, หรือการย้ายงานได้ 3.2 ระดับความเสี่ยงของกองทุนรวมตามประเภทสินทรัพย์ ระดับความเสี่ยงของกองทุนและประเภทสินทรัพย์ที่กองทุนลงทุน จากน้อยไปมาก 1 กองทุนรวมตลาดเงินที่ลงทุนในประเทศเท่านั้น 2 กองทุนรวมตลาดเงิน (ลงทุนในต่างประเทศ ≤50% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ) 3 กองทุนรวมพันธบัตร (ลงทุนในพันธบัตร ≥80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ) 4 กองทุนรวมตราสารหนี้ ที่ลงทุนใน Non-Investment Grade (High Yield Bond) หรือ ตราสารที่ไม่มีการจัดอันดับ (Unrated Bond) ไม่เกิน 20% 5 กองทุนรวมตราสารหนี้ ที่ลงทุนใน Non-Investment Grade (High Yield Bond) หรือ Unrated Bond 20% ถึง <80% กองทุนรวมผสม (หากมีสัดส่วนตราสารหนี้สูงระดับความเสี่ยงจะโน้มไป 4 หากมีตราสารทุนสูงจะโน้มไป 6) 6 กองทุนรวมตราสารหนี้ ที่ลงทุนใน Non-Investment Grade (High Yield Bond) หรือ Unrated Bond ≥80% กองทุนรวมตราสารทุน (ลงทุนในตราสารทุน ≥80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ) 7 กองทุนรวมหมวดอุตสาหกรรม 8 กองทุนรวมที่ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก ≥80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ เช่น ทองคำ, น้ำมัน, สินค้าโภคภัณฑ์, REITs, กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน, กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ 8+ กองทุนที่ลงทุนในตราสารอนุพันธ์ (Derivative), การขายล่วงหน้า (Short Selling), ธุรกรรมซื้อคืน (Repo)
1345201.txt
การประเมินมูลค่าหุ้นสามัญ 4. Relative Valuation (วิธีการประเมินมูลค่าหุ้นเชิงสัมพัทธ์) คือ การประเมินค่าโดยใช้วิธีการเปรียบเทียบอัตราส่วนทางการเงินกับบริษัทอื่นที่มีลักษณะของธุรกิจคล้ายคลึงกัน หรืออาจเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม 4.1. การประเมินมูลค่าด้วยการเปรียบเทียบ Price to Earning Ratio (PE Ratio) 1. การประเมินมูลค่าด้วย PE Ratio ประกอบด้วย 2 ขั้นตอนคือ 1) หาระดับ PE ที่เหมาะสม โดยอาจใช้ค่าเฉลี่ยของ PE ของบริษัทที่มีลักษณะของธุรกิจที่คล้ายคลึงกัน (Peer Group) หรือใช้ค่าเฉลี่ยนของบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน โดยสูตรการคำนวณ PE 2) ประเมินมูลค่า โดยนำ PE ที่เหมาะสมมาคูณด้วยกำไรต่อหุ้นของบริษัทที่ต้องการประเมินมูลค่า 2. ปัจจัยที่กำหนดค่า PE Ratio มีดังนี้ 1) อัตราการจ่ายเงินปันผล (Dividend Payout Ratio) ที่สูง ส่งผลให้ PE สูง เนื่องจากผู้ลงทุนยินดีที่จะยอมซื้อหุ้นที่แพงขึ้นเพื่อแรกกับเงินปันผล 2) อัตราการเติบโตของเงินปันผลหรือกำไร (g) ที่สูง ส่งผลให้ PE สูง ทั้งนี้ปัจจัยที่มีผลต่อค่า g คือ ROE และ Retention Rate (b) โดย g = Retention Rate x ROE 3) อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของเจ้าของ (ROE) ที่สูง จะทำให้ g และ PE สูงไปด้วย 4) อัตราการเก็บกำไร (Retention Rate: b) ที่สูง จะทำให้ อัตราการจ่ายเงินปันผลต่ำ แต่ทำให้ค่า g สูง ดังนั้นผลกระทบต่อ PE จึงหักล้างกัน 5) อัตราผลตอบแทนขั้นต่ำที่ผู้ลงทุนต้องการ ที่สูง ส่งผลให้ PE ต่ำ 3. ข้อดีและข้อเสียของการประเมินมูลค่าด้วย PE Ratio ข้อดี * หาข้อมูลง่าย เนื่องจากเป็นที่นิยม ข้อจำกัด * กำไรทางบัญชีสามารถตกแต่งได้ง่าย * กำไรมีความผันผวนสูง * ไม่สามารถประเมินมูลค่ากิจการที่ขาดทุนได้ * การประเมินมูลค่าโดยใช้กำไรต่อหุ้นในอดีตของบริษัท ส่งผลให้มูลค่าที่ได้เป็นมูลค่าในอดีต อย่างไรก็ตามผู้ลงทุนจะได้กำไรก็ต่อเมื่อมูลค่าในอนคตเพิ่มขึ้น ดังนั้นผู้ลงทุนอาจต้องนำกำไรที่คาดการณ์ในอนาคตมาทดแทน อัตราการจ่ายเงินปันผล = ปันผล/กำไร อัตราการเก็บกำไร เป็นอัตราส่วนที่ตรงข้ามกับอัตราการจ่ายเงินปันผล กล่าวคือ เป็นอัตราส่วนที่บอกว่าเก็บกำไรไว้กี่ % ของกำไรในงวด = กำไรที่เก็บ/กำไร หากบริษัททำกำไรได้ 100 บาท และจ่ายปันผล 40 บาท อัตราการจ่ายเงินปันผล = 40/100 = 40% อัตราการเก็บกำไร = (60/100) = 60% อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของเจ้าของ (ROE) = กำไร/ส่วนของเจ้าของ 4.2. การประเมินมูลค่าด้วยการเปรียบเทียบ Price to Book Value Ratio (PB Ratio) 1. การประเมินมูลค่าด้วย PB Ratio มีหลักการเหมือนกับ PE โดยประกอบด้วย 2 ขั้นตอนคือ 1) หาระดับ PB ที่เหมาะสม โดยอาจใช้ค่าเฉลี่ยของ PB ของบริษัทที่มีลักษณะของธุรกิจที่คล้ายคลึงกัน (Peer Group) หรือใช้ค่าเฉลี่ยของบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน 2) ประเมินมูลค่า โดยนำ PB ที่เหมาะสมมาคูณด้วยกำไรต่อหุ้นของบริษัทที่ต้องการประเมินมูลค่า 2. ข้อดีและข้อเสียของการประเมินมูลค่าด้วย PB Ratio ข้อดี * หาข้อมูลง่าย เนื่องจากเป็นที่นิยม * ส่วนของเจ้าของมีความผันผวนน้อยกว่ากำไร * บริษัททั่วไปจะมีส่วนของเจ้า (Book Value) เป็นบวก ข้อจำกัด * ส่วนของเจ้าของเป็นมูลค่าทางบัญชี ซึ่งไม่สะท้อนสินทรัพย์ในราคาตลาด * ส่วนของเจ้าของคำนวณจาก สินทรัพย์ – หนี้สิน ในงบดุล ทำให้ละเลยบางอย่างที่มีความสำคัญต่อกิจการ เช่น * ความสามารถหรือความเชี่ยวชาญของพนักงาน ทรัพย์พยากรบุคคล * การทำวิจัย (Research and Development : R&D) ต่างๆ ที่อาจมีผลต่อกำไรอย่างมากในอนาคต
1345153.txt
ความรู้พื้นฐานของตราสารหนี้ 4. ผลตอบแทนจากการลงทุนตราสารหนี้ ดอกเบี้ยรับ (Interest payment): ดอกเบี้ยที่ผู้ลงทุนได้รับ กำไรจากส่วนต่างราคา (Capital gain): กำไรจากการที่ผู้ลงทุนขายตราสารหนี้ในราคาที่สูงกว่าต้นทุน รายได้จากการลงทุนต่อ (Reinvestment income): รายได้จากการนำดอกเบี้ยรับไปลงทุนต่อ
1345172.txt
ความรู้พื้นฐานของตราสารหนี้ 1. ความหมายและเหตุผลในการระดมทุนด้วยตราสารหนี้ 1.1 ความหมายของตราสารหนี้ ตราสารหนี้ เปรียบเสมือนสัญญาการกู้ยืม โดยผู้ลงทุนในตราสารหนี้คือผู้ให้กู้ มีสถานะเป็นเจ้าหนี้ ได้รับผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยและได้รับเงินต้นคืนเมื่อครบกำหนดการกู้ยืม ส่วนผู้ออกตราสารเป็นผู้กู้ มีสถานะเป็นลูกหนี้ ทั้งนี้ผู้ออกตราสารอาจเป็นได้ทั้งรัฐบาลและบริษัทเอกชน 1.2 สาเหตุของการระดมทุนด้วยตราสารหนี้ ภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ * ภาครัฐไม่สามารถระดมทุนด้วยการออกตราสารทุนได้ * กู้เงินมาเพื่อทำโครงการใหญ่ เช่น รถไฟฟ้า * สร้างความสมดุลของรายได้กับรายจ่าย เนื่องจากรายได้ไม่เพียงพอที่จะนำมาทำโครงการขนาดใหญ่ * ดอกเบี้ยการกู้ต่ำ เนื่องจากตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลถือว่ามีความน่าเชื่อถือสูงสุดในประเทศ และปราศจากความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ ภาคเอกชน * กู้เงินมาเพื่อทำโครงการต่างๆ * ต้นทุนต่ำกว่าการกู้จากธนาคาร และการออกหุ้นสามัญ (ต้นทุนของตราสารทุนสูงกว่าตราสารหนี้ เนื่องจากบริษัทผู้ออกตราสารทุนต้องแบ่งความเป็นเจ้าของ (ให้หุ้น) รวมถึงจ่ายเงินปันผลให้ผู้ลงทุน และเนื่องจากตราสารทุนมีความเสี่ยงสูงกว่าตราสารหนี้ ผู้ลงทุนจึงต้องการผลตอบแทนจากตราสารทุนสูงกว่าตราสารหนี้) * ลดภาษี เนื่องจากดอกเบี้ยตราสารหนี้ถือเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัท ส่งผลให้กำไรและภาษีลดลง
1345169.txt
การประเมินมูลค่าหุ้นสามัญ 1. ความหมายของการประเมินมูลค่าหุ้น คือ การหามูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic Value) ของหุ้นเพื่อใช้ในการตัดสินใจลงทุน (สำหรับผู้ลงทุน) และใช้ในประกอบการกำหนดราคาออกขายหลักทรัพย์ (สำหรับผู้ออกตราสารทุน) โดยที่ผู้ลงทุนสามารถตัดสินใจลงทุนได้ ดังนี้ * ซื้อ เมื่อราคาตลาด (Market Price) < มูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic Value) ซึ่งแสดงถึงราคาปัจจุบันของหลักทรัพย์ต่ำกว่าราคาที่เหมาะสม (Undervalued หรือ Underpriced) * ขาย เมื่อราคาตลาด (Market Price) > มูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic Value) ซึ่งแสดงถึงราคาปัจจุบันของหลักทรัพย์สูงกว่าราคาที่เหมาะสม (Overvalued หรือ Overpriced) * ถือ/อยู่เฉยๆ เมื่อราคาตลาด (Market Price) = มูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic Value) ซึ่งแสดงถึง ราคาปัจจุบันของหลักทรัพย์เท่ากับราคาที่เหมาะสม (Faire valued หรือ Fair priced)
1345148.txt
ตราสารที่เชื่อมโยงกับตราสารทุน 4. ใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่โอนสิทธิได้ (Transferable Subscription Right :TSR) TSR มีลักษณะคล้ายกับการเพิ่มทุนแบบเสนอขายให้ผู้ถือหุ้นเดิม (Right Offering: RO) ผสมกับ Warrant โดยจะเป็นสัญญาที่ให้สิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุน ซึ่งอายุของสัญญาไม่เกิน 2 เดือน และสามารถซื้อขายได้ผ่านตลาดหลักทรัพย์
1345178.txt
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกองทุนรวม 3. ประเภทของกองทุนรวม ประเภทของกองทุนนั้นมีวิธีในการแบ่งได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับว่าใช้เกณฑ์ใดในการแบ่ง ซึ่งในที่นี้จะกล่าวถึงการแบ่งประเภทโดยใช้ 5 เกณฑ์ดังนี้ 1. แบ่งตามลักษณะการขายคืนหน่วยลงทุน 1) กองทุนเปิด 2) กองทุนปิด 2. แบ่งตามความเสี่ยงต่างประเทศ 1) กองทุนที่ไม่มีความเสี่ยงต่างประเทศ 2) กองทุนที่มีความเสี่ยงต่างประเทศ 3) กองทุนที่มีความเสี่ยงทั้งในและต่างประเทศ 3. แบ่งตามนโยบายการจ่ายผลตอบแทน 1) กองทุนที่จ่ายปันผล 2) กองทุนที่ไม่จ่ายปันผล 3) กองทุนที่ขายคืนอัตโนมัติ (Auto Redemption) 4. แบ่งตามนโยบายการลงทุน 1) กองทุนรวมตราสารหนี้ (Fixed income Fund) 2) กองทุนรวมตราสารทุน (Equity Fund) 3) กองทุนรวมสินทรัพย์ทางเลือก (Alternative Investment Fund) 4) กองทุนรวมผสม (Mixed Fund) 5. แบ่งตามลักษณะพิเศษ 1) กองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market) 2) กองทุนรวมคุ้มครองเงินต้น (Capital Protection Fund) 3) กองทุนรวมแบบมีหลักประกัน (Guarantee Fund) 4) กองทุนรวมหมวดอุตสาหกรรม (Sector Fund) 5) กองทุนรวมที่ลงทุนในกองทุนรวมอีกต่อหนึ่ง 6) กองทุนที่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี 7) กองทุนรวมดัชนี (Index Fund) 8) กองทุนรวม ETF (Exchange Trade Fund) 9) กองทุนรวมที่กำหนดระยะเวลาลงทุน (Term Fund) 10) กองทุนทริกเกอร์ (Trigger Fund) 11) กองทุนรวมเพื่อผู้ลงทุนที่มิใช่รายย่อย 3.1 ประเภทของกองทุนรวมแบ่งตามลักษณะการขายคืนหน่วยลงทุน กองทุนเปิด อายุโครงการ (อายุกองทุน): ไม่กำหนดอายุ นโยบายการจ่ายปันผล: มีทั้งแบบจ่ายปันผลและไม่จ่ายปันผล ช่องทางซื้อขายเมื่อ IPOและเมื่อหมดอายุ: ผ่าน บลจ. / ตัวแทนขาย ในราคาสินทรัพย์สุทธิต่อหน่วย (NAV per Unit) การจดทะเบียนเพื่อให้ ซื้อ/ขายในตลาดหลักทรัพย์: ไม่จดทะเบียน ช่องทางซื้อขายในระหว่างที่กองทุนยังไม่หมดอายุ: ผ่าน บลจ. / ตัวแทนสนับสนุนขาย ในราคาสินทรัพย์สุทธิต่อหน่วย (NAV per Unit) ช่วงเวลาการซื้อขายหลัง IPO: ตามกำหนดของ บลจ. เช่น ทุกวันทำการ, ทุกสัปดาห์, ทุกเดือน การประกาศ NAV: ทุกวันทำการ จำนวนหน่วยกองทุนช่วงที่กองทุนยังไม่หมดอายุ: เพิ่มขึ้น เมื่อมีการซื้อลดลง เมื่อมีการขาย กองทุนปิด อายุโครงการ (อายุกองทุน): กำหนด (เช่น 5 ปี, 7 ปี, 10 ปี) นโยบายการจ่ายปันผล: มีทั้งแบบจ่ายปันผลและไม่จ่ายปันผล ช่องทางซื้อขายเมื่อ IPOและเมื่อหมดอายุ: ผ่าน บลจ. / ตัวแทนขายในราคาสินทรัพย์สุทธิต่อหน่วย (NAV per Unit) การจดทะเบียนเพื่อให้ซื้อ/ขายในตลาดหลักทรัพย์: จดทะเบียน ช่องทางซื้อขายในระหว่างที่กองทุนยังไม่หมดอายุ: ผ่านตลาดหลักทรัพย์ในราคาที่ซื้อขายในตลาดฯ ช่วงเวลาการซื้อขายหลัง IPO: ทุกวันทำการ การประกาศ NAV: ทุกวันทำการสุดท้ายของสัปดาห์ จำนวนหน่วยกองทุนช่วงที่กองทุนยังไม่หมดอายุ: ไม่เปลี่ยนแปลง (จำนวนหน่วยย้ายจากผู้ลงทุน A ไป B เท่านั้น) กองทุนรวมส่วนใหญ่ที่เราคุ้นเคยเป็นกองทุนเปิดซี่งมีลักษณะสำคัญ คือ การซื้อขายหลังจาก IPO ของผู้ลงทุนจะเป็นการซื้อขายกับ บลจ. (อาจใช้ช่องทางผ่าน บลจ. ตรง หรือผ่านตัวแทนสนับสนุนขาย) และเมื่อมีการซื้อขายหน่วยลงทุนก็จะเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้กองทุนเปิดจะต้องเลิกโครงการเมื่อ จำนวนผู้ถือหน่วยลงทุน <35 ราย หรือมีการขายคืนหน่วยลงทุนมากกว่า 2 ใน 3 ภายใน 5 วันทำการ ยกเว้น กองทุนรวมตลาดเงิน, กองทุนรวมหน่วยลงทุน, กองทุนรวมฟีดเดอร์ (Feeder Fund) ขณะที่กองทุนปิด การซื้อขายหลังจาก IPO ของผู้ลงทุนจะเป็นการซื้อขายระหว่างผู้ลงทุนกันเอง และซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ (ผู้ลงทุนติดต่อ บล. แล้ว บล. ส่งคำสั่งซื้อขายเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์) ดังนั้นเมื่อมีการซื้อขายหน่วยลงทุนก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง 3.2 แบ่งตามความเสี่ยงต่างประเทศ 1. กองทุนรวมที่ไม่มีความเสี่ยงต่างประเทศ คือ กองทุนรวมที่ลงทุนในประเทศเท่านั้น 2. กองทุนรวมที่มีความเสี่ยงต่างประเทศ คือ กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ ≥80% * ความเสี่ยงเมื่อลงทุนต่างประเทศ คือ ความเสี่ยงของประเทศที่ลงทุน (Country Risk) และความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Currency Risk) * กองทุนอาจมีนโยบายการบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน เช่น การป้องกันความเสี่ยงเต็มจำนวน (Fully Hedged), การป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน, การไม่ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน * การเสนอขายกองทุนรวมข้ามประเทศในกลุ่มอาเซียนแก่ผู้ลงทุนทั่วไป (ASEAN Collective Investment Scheme : ASEAN CIS) เป็นการร่วมมือระหว่าง ไทย, มาเลเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งทำให้ บลจ. ไทย สามารถเสนอขายนำกองทุนให้นักลงทุนมาเลเซีย และสิงคโปร์ได้ ขณะที่ บลจ. มาเลเซียและสิงคโปร์ ก็เสนอขายกองทุนให้นักลงทุนไทยได้เช่นกัน 3. กองทุนรวมที่มีความเสี่ยงทั้งในและต่างประเทศ คือ กองทุนที่ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ 3.3 แบ่งตามนโยบายการจ่ายผลตอบแทน 1. กองทุนรวมที่มีนโยบายไม่จ่ายเงินปันผล เมื่อกองทุนได้รับผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (ทั้งจากการกำไรจากส่วนต่างราคา, เงินปันผล, ดอกเบี้ยรับ) กองทุนจะนำกระแสเงินสดที่ได้รับไปลงทุนต่อ ซึ่งทำให้มูลค่าสินทรัพย์สุทธิต่อหน่วย (NAV per Unit) ของกองทุนเติบโตอย่างต่อเนื่อง 2. กองทุนรวมที่มีนโยบายการจ่ายเงินปันผล เมื่อกองทุนได้รับผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (ทั้งจากการกำไรจากส่วนต่างราคา, เงินปันผล, ดอกเบี้ยรับ) กองทุนจะแบ่งผลตอบแทนคืนให้กับผู้ลงทุนในรูปของเงินปันผล ซึ่งการปันผลออกมาจะทำให้มูลค่าสินทรัพย์สุทธิต่อหน่วย (NAV per Unit) ลดลงเท่ากับจำนวนที่ปันผล ทั้งนี้กองทุนจะสามารถปันผลได้ก็ต่อเมื่อมีกำไรในรอบบัญชีหรือมีกำไรสะสมเท่านั้น แต่กองทุนจะจ่ายปันผลเท่าไร และจะจ่ายหรือไม่ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้บริหารกองทุนอีกที อย่างไรก็ตามเงินปันผลที่ผู้ลงทุนได้รับจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% 3. กองทุนรวมที่มีนโยบายขายคืนอัตโนมัติ วิธีนี้ผู้ลงทุนจะได้กระแสเงินสดจากกองทุนเช่นเดียวกับเงินปันผล แต่มีข้อแตกต่างดังนี้ * เมื่อมีการขายคืนอัตโนมัติ NAV per Unit จะไม่ลดลง แต่จำนวนหน่วยของผู้ลงทุนจะลดลง * กองทุนไม่จำเป็นต้องมีกำไรหรือกำไรสะสม ก็สามารถขายคืนอัตโนมัติได้ * เงินที่ได้จากการขายคืนอัตโนมัติไม่ต้องชำระภาษี 3.4 แบ่งตามนโยบายการลงทุน 1. กองทุนรวมตราสารหนี้ (Fixed Income Fund) คือ กองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ (ตราสารหนี้ เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตร หุ้นกู้ เงินฝาก) ซึ่งแบ่งย่อยเป็น 3 ประเภท ดังนี้ 1) กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น (Short-Term Fixed-Income Fund) ลงทุนในตราสารหนี้ที่มี Portfolio Duration (Portfolio Duration มีหน่วยเป็นปี และแสดงถึงความเสี่ยงด้านความผันผวนของราคา) ≤1 ปี กองทุนมักให้ผลตอบแทนต่ำ แต่ก็มีความเสี่ยงต่ำเช่นกัน 2) กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะยาว (Long-Term Fixed-Income Fund) ลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ถ่วงน้ำหนักด้วยกระแสเงินสดของพอร์ตการลงทุน (Portfolio Duration) >1 ปี ทำให้กองทุนมีความเสี่ยงด้านการผันผวนของราคาสูง (Price Risk) ดังนั้นกองทุนจะทำผลตอบแทนได้ที่ในภาวะดอกเบี้ยขาลง และไม่ดีในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น 3) กองทุนตราสารหนี้ (General Fixed Income Fund) ลงทุนในตราสารหนี้ (ไม่กำหนดอายุคงเหลือและ Portfolio Duration) 2. กองทุนรวมตราสารทุน (Equity Fund) เน้นลงทุนในตราสารทุน เช่น หุ้นสามัญ, หุ้นบุริมสิทธิ, ใบสำคัญแสดง โดยจะลงทุน ≥80% ของสินทรัพย์สุทธิของกองทุน 3. กองทุนรวมสินทรัพย์ทางเลือก (Alternative Investment Fund) คือกองทุนที่เน้นลงทุนสินทรัพย์ทางเลือก (สินทรัพย์อื่นๆ ที่ไม่ใช่ ตราสารทุน และตราสารหนี้) เช่น อสังหาริมทรัพย์, โครงสร้างพื้นฐาน และสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งแต่ละกองมีรายละเอียดดังนี้ 1) กองทุนรวมสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity Fund) คือ กองทุนเน้นลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ, น้ำมัน, โลหะ และสินค้าเกษตร โดยกองทุนมีลักษณะสำคัญดังนี้ * ช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดี เพราะมีค่า Correlation กับตราสารทุนและตราสารหนี้ ในระดับต่ำ * ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ส่วนใหญ่ ปรับตามเงินเฟ้อ * มีความผันผวนสูง ตามความผันผวนของสินค้าโภคภัณฑ์ * กองทุนอาจนำเงินไปลงทุนในสินค้าโดยตรง (Physical Asset) หรือ ลงทุนในตราสารอนุพันธ์ที่ราคาอ้างอิงกับสินค้าโภคภัณฑ์ เพื่อลดความค่าใช้จ่ายและความยุ่งยากในการจัดเก็บสินค้า อย่างไรก็ตามราคาของตราสารอนุพันธ์อาจไม่สามารถปรับขึ้นลงตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่อ้างอิงได้อย่างสมบูรณ์ * กองทุนรวมสินค้าโภคภัณฑ์ในไทย มีลักษณะสำคัญดังนี้ - เป็นกองทุนรวมหน่วยลงทุน ที่นำเงินไปลงทุนในกองทุนรวมสินค้าโภคภัณฑ์ในต่างประเทศ - กองทุนรวมสินค้าโภคภัณฑ์ในต่างประเทศที่เข้าลงทุน ส่วนใหญ่มีนโยบายการบริหารแบบเชิงรับ (Passive Management) 2) กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund) คือ กองทุนที่เน้นลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อปล่อยเช่า เช่น ห้างสรรพสินค้า, อาพาร์ทเมนท์, โรงแรม, โกดัง, อาคารสำนักงาน โดยกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์มีลักษณะสำคัญดังนี้ * เป็นกองทุนปิดที่อาจกำหนดอายุโครงการหรือไม่ก็ได้ * จัดตั้งขึ้นภายใต้กฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ * ต้องลงทุนในอสังหาฯ ก่อสร้างเสร็จแล้ว หรือที่ก่อสร้างไปแล้ว ≥70% * จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ และราคากองทุนจะปรับขึ้นลงตาม Demand Supply ก่อให้เกิดกำไรหรือขาดทุนจากส่วนต่างราคา * มักได้ปันผลสม่ำเสมอ เพราะมักได้รายได้จากค่าเช่าที่สม่ำเสมอ * กองทุนต้องจ่ายเงินปันผล ≥90% ของกำไรสุทธิ * สามารถกู้ยืมได้ไม่เกิน 10% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ * กองทุนเหมาะกับผู้ลงทุนที่สามารถลงทุนได้ระยะยาว สามารถรับความผันผวนของราคากองทุนได้ และต้องการรายได้ที่สม่ำเสมอ * กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ แบ่งย่อยได้ 2 ประเภท ดังนี้ - เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ (Free hold) คือ การที่กองทุนซื้ออสังหาฯ แล้วนำมาปล่อยเช่า หากกองทุนกำหนดอายุโครงการ เมื่อหมดอายุกองทุนต้องขายอสังหาฯ และนำเงินมาคืนให้ผู้ลงทุน - เป็นเจ้าของสิทธิการเช่า (Lease hold) คือ การที่กองทุนเช่าอสังหาฯ ระยะยาว เช่น 20 ปี แล้วนำมาปล่อยเช่าอีกต่อหนึ่ง เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่า (กรณีกองทุนกำหนดอายุโครงการ อายุของโครงการมักหมดพร้อมสัญญาเช่า) กองทุนจะต้องคืนอสังหาฯ ให้เจ้าของ * ความเสี่ยงของกองทุนอสังหาฯ - ความเสี่ยงที่ทำให้รายได้ค่าเช่าและกำไรไม่แน่นอน ซึ่งอาจมาจาก เศรษฐกิจ, ภาวะการแข่งขันของอุตสาหกรรม, ภัยธรรมชาติต่างๆ - ความเสี่ยงด้านสภาพคล่องการซื้อขาย แม้ว่ากองทุนจะจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ แต่บางกองทุนก็มีปริมาณการซื้อขายน้อย * ตั้งแต่ปี 2557 กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์จะไม่สามารถจัดตั้ง และเพิ่มทุนได้อีก โดยเครื่องมือการลงทุนที่เข้ามาทดแทน คือ กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real estate investment trusts : REITs) 3) กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) คือ กองประเภททรัสต์ ซึ่งมีลักษณะเป็น “กองทรัพย์สิน” (ไม่ใช่กองทุนรวม และไม่ถือเป็นนิติบุคคล) ที่จะนำเงินไปลงทุนในอสังหาฯ (อาจซื้อหรือเช่าระยะยาว) และสร้างรายได้หลักจากปล่อยเช่า โดย REITs มีลักษณะสำคัญดังนี้ * จัดตั้งขึ้นภายใต้กฎหมายทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน * REITs ต้องลงทุนในอสังหาฯ ที่มีมูลค่า ≥500 ล้านบาท * ลงทุนในอสังหาฯ ที่ยังไม่เสร็จได้ไม่เกิน 10% ของสินทรัพย์รวม * มีผู้บริหารกองทรัสต์ (REIT Manager) ที่ทำหน้าที่เสนอขายกองทรัสต์ และมีหน้าที่บริหารอสังหาฯ เช่น การหาผู้เช่า, การซ่อมแซมอสังหาฯ, การจ่ายเงินปันผล * ผู้บริหารกองทรัสต์ (REIT Manager) อาจเป็น บลจ. หรือ บริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ * มีทรัสตี (Trustee) เป็นผู้ถือกรรมสิทธิของกองทรัสต์ และมีหน้าที่กำกับดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของ REIT Manager รวมถึงเป็นรักษาทรัพย์สินของกองทรัสต์ * ทรัสตีต้องเป็น ธนาคารพาณิชย์, บริษัทหลักทรัพย์, บริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน, หรือสถาบันการเงินที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. * REITs อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. * สามารถกู้ยืมได้ ไม่เกิน 35% ของทรัพย์สินรวม หรือ ไม่เกิน 60% กรณีที่ REIT ได้รับความน่าเชื่อถือระดับInvestment Grade * จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และราคากองทุนจะปรับขึ้นลงตาม Demand Supply ก่อให้เกิดกำไรหรือขาดทุนจากส่วนต่างราคา * REITs ต้องจ่ายเงินปันผล ≥90% ของกำไรสุทธิ * กองทุนเหมาะกับผู้ลงทุนที่สามารถลงทุนได้ระยะยาว สามารถรับความผันผวนของราคากองทุนได้ และต้องการรายได้ที่สม่ำเสมอ * มีลักษณะความเสี่ยงคล้ายกองทุนรวมอสังหาฯ แต่มีความเสี่ยงเพิ่มเติมจากการที่มีระดับการกู้ยืมที่มากกว่า 4) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) คือ กองทุนรวมที่นำเงินไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งโครงการของภาครัฐและภาคเอกชน เช่น รถไฟฟ้า, ทางด่วน, โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี, การชลประทาน ซึ่งมีลักษณะสำคัญดังนี้ * กองทุนต้องระบุชัดว่าจะนำเงินไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานประเภทใด * เป็นกองทุนปิดและต้องจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ * การระดมทุนผ่านกองทุนรวมทำให้มีเงินไปก่อสร้างและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานได้เร็วขึ้น * ลงทุนในโครงการ Greenfield Project (Greenfield Project หมายถึง การทำโครงสร้างตั้งแต่เริ่มต้นบนพื้นที่ที่ไม่เคยใช้งานมาก่อน (ไม่มีสิ่งก่อสร้างอยู่บนพื้นที่)) ไม่เกิน 30% ของมูลค่าสินทรัพย์รวม (กรณีมากกว่า 30% ต้องขายให้นักลงทุนรายใหญ่ (นักลงทุนรายใหญ่ ในที่นี้หมายถึง ผู้ลงทุนที่ลงทุนตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป) เท่านั้น) * รายได้หลักของกองทุนมาจากการเก็บค่าเช่าหรือค่าบริการโครงสร้างพื้นฐาน * ตัวอย่างกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบขนส่งมวลชนทางรางบีทีเอสโกรท (BTSGIF) ซึ่งมีรายได้จากการเก็บค่าบริการรถไฟฟ้า BTS * กองทุนต้องจ่ายเงินปันผล ≥90% ของกำไรสุทธิ * บุคคลธรรมดาได้รับการยกเว้นภาษีจากปันผลเป็นเวลา 10 ปี นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน * กองทุนเหมาะกับผู้ลงทุนที่สามารถลงทุนได้ระยะยาว สามารถรับความผันผวนของราคากองทุนได้ และต้องการรายได้ที่สม่ำเสมอ * มีความเสี่ยงคล้ายของทุนรวมอสังหาฯ แต่มีความเสี่ยงเพิ่มจากการสามารถลงทุนในโครงการที่ยังไม่เสร็จได้ ดังนั้นอาจมีความเสี่ยงจากการที่โครงการเสร็จล่าช้ากว่าที่กำหนด 4. กองทุนผสม (Mixed Fund) คือ กองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภทผสมกัน เช่น ตราสารหนี้, ตราสารทุน, อสังหาริมทรัพย์ และสินทรัพย์ทางเลือก 3.5 แบ่งตามลักษณะพิเศษ 1. กองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market) เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น และความน่าเชื่อถือสูง ซึ่งมีลักษณะสำคัญดังนี้ * แต่ละตราสารหนี้ที่ลงทุนอายุคงเหลือต้องไม่เกิน 397 วัน และ Duration เฉลี่ยของพอร์ตลงทุน (Portfolio duration) ต้องไม่เกิน 92 วัน * ไม่ลงทุนในตราสารหนี้ด้อยสิทธิ * ลงทุนในตราสารหนี้ที่มีความน่าเชื่อถือสูง (สำหรับตราสารหนี้ระยะสั้น 2 อันดับสูงสุด, ตราสารหนี้ระยะยาว 3 อันดับสูงสุด) * ลงทุนในต่างประเทศได้ไม่เกิน 50% ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ และต้องป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน * ต้องลงทุนในสินทรัพย์สภาพคล่องสูง ≥10% * กองทุนสามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ * กองทุนมีความผันผวนและความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ต่ำ มีความเสี่ยงต่ำใกล้เคียงเงินฝาก * เป็นกองทุนที่เหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนสั้นๆ หรือใช้พักเพื่อบริหารสภาพคล่อง 2. กองทุนรวมคุ้มครองเงินต้น (Capital Protection Fund) เป็นกองทุนที่มุ่งเน้นการรักษาเงินต้น จึงเน้นการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น และความน่าเชื่อถือสูง (คล้ายกองทุนรวมตลาดเงิน แต่แสดงวัตถุประสงค์ชัดเจนว่ามุ่งเน้นการคุ้มครองเงินต้น) ซึ่งมีลักษณะสำคัญดังนี้ * การลงทุนจะเน้นรักษาเงินต้น แต่มิได้รับประกันเงินต้น * ระบุชัดเจนว่าจะเน้นลงทุนในสินทรัพย์ใด เช่น เน้นลงทุนในพันธบัตร ≥90% 3. กองทุนรวมแบบมีประกัน (Guarantee Fund) เป็นกองทุนรวมที่มีการรับประกันเงินต้น หรือผลตอบแทนให้กับผู้ลงทุน โดย บลจ. เป็นผู้จัดหาผู้รับประกัน ทั้งนี้ผู้รับประกันต้องเป็นสถาบันการเงินที่มีคุณสมบัติตามที่ ก.ล.ต. กำหนด 4. กองทุนรวมหมวดอุตสาหกรรม (Sector Fund) เป็นกองทุนที่ลงทุนในหมวดอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง ≥80% ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ เช่น ลงทุนในหุ้นพลังงาน โดย Sector Fund มีลักษณะสำคัญดังนี้ * มีความเสี่ยงสูง (ผู้ลงทุนอาจได้รับผลตอบแทนอาจสูงมากหรือต่ำมาก) เนื่องจากลงทุนกระจุกในอุตสาหกรรมเดียว * เหมาะกับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง และต้องการมุ่งเน้นลงทุนในอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง 5. กองทุนรวมที่ลงทุนในกองทุนรวมอีกต่อหนึ่ง มีลักษณะสำคัญดังนี้ * นำเงินไปลงทุนในกองทุนรวม ซึ่งมักเป็นกองทุนรวมในต่างประเทศ เพราะผู้จัดการกองทุนไม่เชี่ยวชาญเท่าผู้จัดการกองทุนในประเทศนั้นๆ * แบ่งย่อยได้ 2 ประเภท คือ - Feeder Fund คือ กองทุนรวมที่เน้นลงทุนในกองทุนรวมใดกองทุนหนึ่ง ≥80% - Fund of Funds คือ กองทุนรวมที่ลงทุนในกองทุนรวมหลายๆ กองทุน 6. กองทุนที่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี คือ กองทุนรวมที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับผู้ลงทุนประเภทบุคคลธรรมดา ซึ่งปัจจุบันบันมี 2 กองทุน คือ 1. กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long-term equity fund: LTF) 2. กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement mutual fund: RMF) LTF ที่มาและวัตถุประสงค์: สร้างเสถียรภาพให้ตลาดหุ้นไทย (เนื่องจากเดิมนักลงทุนมักเก็งกำไรในหุ้น โดยการซื้อ/ขาย สั้นๆ) นโยบายการลงทุน: ต้องเป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้นไทย ≥65% ของสินทรัพย์สุทธิของกองทุน การจ่ายปันผล: มีทั้งกองทุนที่ไม่จ่ายเงินปันผลและจ่ายเงินปันผล (จ่ายปันผลได้ไม่เกิน 30% ของกำไรสะสม) สิทธิทางภาษี: ลดหย่อนเงินได้ที่ใช้ในการคำนวณภาษี ได้เท่ากับมูลค่าเงินลงทุนจริง แต่ไม่เกิน 15% ของรายได้ใน แต่ละปี และไม่เกิน 500,000 บาท ได้รับการยกเว้นภาษีจาก Capital Gain กรณีขายแบบถูกเงื่อนไข (แต่ต้องนำไปแสดงเงินได้พึงประเมินตอนยื่นภาษี) เงินปันผล หักภาษี ณ ที่จ่าย 10% โดยสามารถเลือกนำไปรวมเป็นรายได้แล้วเครดิตภาษี เงื่อนไขในการลงทุน : สำหรับผู้ที่ลงทุนก่อนปี 2559 ต้องถือครองกองทุน ≥5 ปีปฏิทิน สำหรับผู้ที่ลงทุนตั้งแต่ปี 2559 ต้องถือครองกองทุน ≥7 ปีปฏิทิน ไม่ต้องลงทุนทุกปี (ลดหย่อนภาษีได้เฉพาะปีที่ลงทุน) ไม่มีกำหนดมูลค่าเงินขั้นต่ำในการลงทุน ไม่สามารถนำหน่วยลงทุนไปโอน จำนำ หรือค้ำประกัน ความเสี่ยงของกองทุน: สูงเนื่องจากเน้นลงทุนในหุ้น เหมาะกับผู้ลงทุนที่: ต้องการลดหย่อนภาษี รับความเสี่ยงได้สูงหรือค่อนข้างสูง เนื่องจากเน้นลงทุนในหุ้น การผิดเงื่อนไข: ทั้ง LTF และ RMF หากทำผิดเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่งถือว่าผิดเงื่อนไข ยกเว้นผิดเงื่อนไขเนื่องจากผู้ลงทุนทุพพลภาพหรือเสียชีวิต บทลงโทษกรณีผิดเงื่อนไข: กำไรที่ได้จาก Capital Gain ต้องชำระภาษี โดย บลจ. จะหักภาษี ณ ที่จ่ายก่อน 3% และผู้ลงทุนต้องนำกำไรส่วนนี้ไปรวมเป็นรายได้และยื่นภาษีอีกด้วย คืนภาษีที่เคยได้รับการลดหย่อน + ดอกเบี้ย 1.5% ต่อเดือน RMF ที่มาและวัตถุประสงค์: ส่งเสริมการออมเพื่อการเกษียณ นโยบายการลงทุน: เป็นกองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์ใดก็ได้ การจ่ายปันผล: ไม่จ่ายปันผล (การจ่ายเงินปันผลจะทำให้มูลค่าเงินลงทุนลดลง ส่งผลให้ผู้ลงทุนมีเงินเพื่อการเกษียณลดลง) สิทธิทางภาษี: ลดหย่อนเงินได้ที่ใช้ในการคำนวณภาษี ได้เท่ากับมูลค่าเงินลงทุนจริง แต่ไม่เกิน 15% ของเงินได้ในแต่ละปี และไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.)1 กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund)1 และประกันชีวิตแบบบำนาญ ได้รับการยกเว้นภาษีจาก Capital Gain เงื่อนไขในการลงทุน: ต้องลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี (นับปีเฉพาะปีที่มีการลงทุน)และถือครองจนถึงอายุ 55 ปีบริบูรณ์ ต้องลงทุนทุกปี (สามารถเว้นได้ไม่เกิน 1 ปี ติดต่อกัน หรือลงทุนปีเว้นปีได้) เว้นการลงทุนเกิน 1 ปี ได้ หากปีนั้นๆ ไม่มีรายได้จากการประกอบวิชาชีพ ในแต่ละปีต้องลงทุนขั้นต่ำ 3% ของรายได้ หรือ 5,000 บาทแล้วแต่จำนวนใดจะต่ำกว่า ไม่สามารถนำหน่วยลงทุนไปโอน จำนำ หรือค้ำประกัน ความเสี่ยงของกองทุน: ต่ำถึงสูง ขึ้นอยู่กับสินทรัพย์ที่ลงทุน เหมาะกับผู้ลงทุนที่: ต้องการลดหย่อนภาษี ต้องการลงทุนระยะยาวเพื่อใช้ยามเกษียณ การผิดเงื่อนไข: ทั้ง LTF และ RMF หากทำผิดเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่งถือว่าผิดเงื่อนไข ยกเว้นผิดเงื่อนไขเนื่องจากผู้ลงทุน บทลงโทษกรณีผิดเงื่อนไข: กรณีลงทุน < 5 ปี กำไรที่ได้จาก Capital Gain ต้องชำระภาษี โดย บลจ. จะหักภาษี ณ ที่จ่ายก่อน 3% และผู้ลงทุนต้องนำกำไรส่วนนี้ไปรวมเป็นรายได้และยื่นภาษีอีกด้วย คืนภาษีที่เคยได้รับการลดหย่อนทั้งหมด (ไม่มีดอกเบี้ย) กรณีลงทุน ≥5 ปี กำไรที่ได้จาก Capital Gain ต้องชำระภาษี โดย บลจ. จะหักภาษี ณ ที่จ่ายก่อน 3% และผู้ลงทุนต้องนำกำไรส่วนนี้ไปรวมเป็นรายได้และยื่นภาษีอีกด้วย คืนภาษีที่เคยได้รับการลดหย่อน 5 ปี ย้อนหลัง ซึ่งนับตามปีปฏิทิน (ไม่มีดอกเบี้ย) สำคัญ * ระวังความสับสนของชื่อกองทุนระหว่าง กองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident fund) * ทั้ง LTF และ RMF ไม่มีข้อจำกัดว่าต้องลงทุนกับ บลจ. เดียว หรือ ต้องซื้อกองทุนเดิมไปตลอด ดังนั้นผู้ลงทุนสามารถซื้อกองทุน LTF และ RMF ได้หลากกองทุน และ หลาย บลจ. * ผู้ลงทุนไม่ควรซื้อ LTF และ RMF เกินสิทธิที่ได้รับการลดหย่อนภาษี เพราะส่วนที่เกินสิทธิจะไม่ได้รับการลดหย่อนภาษี * กรณีไม่คืนภาษีหรือชำระภาษีบุคคลธรรมดาภายในเดือน มี.ค. จะเสียค่าปรับ 1.5% ต่อเดือนของยอดภาษีที่ต้องจ่ายคืน * กรณีถูกหมายเรียกให้มาชำระภาษีหรือคืนภาษีแล้วเพิกเฉย ต้องเสียเบี้ยปรับ 1-2 เท่าของภาษีที่ต้องจ่ายคืน ตัวอย่างการคำนวณเกี่ยวกับ LTF และ RMF ตัวอย่าง 1: นาย A มีรายได้เดือนละ 50,000 บาท และได้รับโบนัส 100,000 บาท โดยนาย A สะสมเงินเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ที่อัตรา 10% ของเงินเดือน และชำระเบี้ยประกันแบบบำนาญ ปีละ 50,000 บาท จงหาจำนวนเงินสูงสุดที่สามารถลดหย่อนภาษีได้ของ LTF และ RMF วิธีทำ LTF เงื่อนไข : ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 15% ของรายได้ในแต่ละปี และไม่เกิน 500,000 บาท * รายได้จากเงินเดือน = 50,000 X 12 = 600,000 บาทต่อปี * รายได้จากโบนัส = 100,000 บาทต่อปี * รายได้รวม = 600,000+100,000 = 700,000 บาทต่อปี * เงินที่ซื้อ LTF ได้ = 700,000 X 0.15 = 105,000 บาท ซึ่งไม่เกิน 500,000 ดังนั้น จำนวนเงินสูงสุดที่สามารถลดหย่อนภาษีได้ของ LTF คือ 105,000 บาท RMF เงื่อนไข : ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 15% ของรายได้ในแต่ละปี และไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) และประกันชีวิตแบบบำนาญ * รายได้จากเงินเดือน = 50,000 X 12 = 600,000 บาทต่อปี * รายได้จากโบนัส = 100,000 บาทต่อปี * รายได้รวม = 600,000+100,000 = 700,000 บาทต่อปี * เบี้ยประกันแบบบำนาญ = 50,000 บาทต่อปี * เงินสะสมเข้ากองทุน กบข. = 600,000 x 0.10 = 60,000 บาทต่อปี * กรณีซื้อ RMF 15% = 700,000 X 0.15 = 105,000 บาท * เงิน RMF รวมกับอื่นๆ = 105,000+50,000+60,000 = 215,000 บาท ซึ่งไม่เกิน 500,000 บาท ดังนั้น จำนวนเงินสูงสุดที่สามารถลดหย่อนภาษีได้ของ RMF คือ 105,000 บาท ตัวอย่างการคำนวณเกี่ยวกับ LTF และ RMF ตัวอย่าง 2: นาย A มีรายได้เดือนละ 200,000 บาท และได้รับโบนัส 600,000 บาท โดยนาย A สะสมเงินเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่อัตรา 10% ของเงินเดือน และชำระเบี้ยประกันแบบบำนาญ ปีละ 200,000 บาท จงหาจำนวนเงินสูงสุดที่สามารถลดหย่อนภาษีได้ของ LTF และ RMF วิธีทำ LTF เงื่อนไข : ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 15% ของรายได้ในแต่ละปี และไม่เกิน 500,000 บาท * รายได้จากเงินเดือน = 200,000 X 12 = 2,400,000 บาทต่อปี * รายได้จากโบนัส = 600,000 บาทต่อปี * รายได้รวม = 2,400,000 + 600,000 = 3,000,000 บาทต่อปี * เงินที่ซื้อ LTF ได้ = 3,000,000 X 0.15 = 450,000 บาท ซึ่งไม่เกิน 500,000 ดังนั้น จำนวนเงินสูงสุดที่สามารถลดหย่อนภาษีได้ของ LTF คือ 450,000 บาท RMF เงื่อนไข : ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 15% ของรายได้ในแต่ละปี และไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) และประกันชีวิตแบบบำนาญ * รายได้จากเงินเดือน = 200,000 X 12 = 2,400,000 บาทต่อปี * รายได้จากโบนัส = 600,000 บาทต่อปี * รายได้รวม = 2,400,000 + 600,000 = 3,000,000 บาทต่อปี * เบี้ยประกันแบบบำนาญ = 200,000 บาทต่อปี * เงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 2,400,000 x 0.10 = 240,000 บาทต่อปี * กรณีซื้อ RMF 15% = 3,000,000 X 0.15 = 450,000 บาท * เงิน RMF รวมกับอื่นๆ = 450,000+200,000+240,000 = 890,000 บาท ซึ่งเกิน 500,000 บาท ดังนั้น จำนวนเงินสูงสุดที่สามารถลดหย่อนภาษีได้ของ RMF คือ 500,000 - 200,000 - 240,000 = 60,000 บาท 7. กองทุนรวมดัชนีกองทุนรวมดัชนี (Index Fund) เป็นกองทุนที่มีกลยุทธ์การบริหารแบบเชิงรับ (Passive Management) โดยจะลงทุนในหลักทรัพย์ทุกตัวในสัดส่วนที่เท่ากับดัชนี เช่น กองทุน SET50 จะลงทุนให้หลักทรัพย์ 50 ตัว และมีสัดส่วนการลงทุนในแต่ละหลักทรัพย์ตามดัชนี SET50 ดังนั้นผลตอบแทนของกองทุนรวมดัชนี จึงมักมีผลตอบแทนและความเสี่ยงใกล้เคียงกับดัชนี แต่ผลตอบแทนอาจไม่เท่าดัชนี เนื่องจาก ค่าธรรมเนียมในการบริหารกองทุน หรือ ความคาดเคลื่อนที่อาจทำให้ไม่สามารถลงทุนในหลักทรัพย์ได้ตามดัชนี ผู้ลงทุนในกองทุนรวมดัชนี มักให้ความสำคัญกับค่าความคาดเคลื่อน (Tracking Error: TE) ระหว่างผลตอบแทนของกองทุนและผลตอบแทนของดัชนี โดยกองทุนดัชนีที่ดีควรมี TE ต่ำ ดัชนีในที่นี้อาจเป็น ดัชนีของหุ้น, ดัชนีตราสารหนี้, ดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์ (ทอง, นำมัน) นอกจากนี้กองทุนรวมดัชนี สามารถแบ่งเป็น 1. กองทุนเปิดทั่วไป 2. กองทุนเปิด ETF 8. กองทุนรวม ETF (Exchange Trade Fund) เป็นกองทุนดัชนีประเภทหนึ่งที่มีกลยุทธ์การบริหารแบบเชิงรับ และเป็นกองทุนเปิดที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ โดย ETF จะมีความแตกต่างที่สำคัญจากกองทุนเปิด และกองทุนปิดดังนี้ กองทุนเปิด อายุโครงการ (อายุกองทุน) ไม่กำหนดอายุ กลยุทธ์การลงทุน เชิงรุก / เชิงรับ นโยบายจ่ายปันผล จ่ายปันผล / ไม่จ่ายปันผล ช่องทางซื้อขายเมื่อ IPOและเมื่อหมดอายุ ผ่าน บลจ. / ตัวแทนขาย การจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ไม่จดทะเบียน ช่องทางซื้อขายในระหว่างที่กองทุนยังไม่หมดอายุ ผ่าน บลจ. / ตัวแทนขาย ราคาที่ซื้อขายที่ผู้ลงทุนได้รับ ราคาสินทรัพย์สุทธิต่อหน่วย ณ สิ้นวันทำการของกองทุน การประกาศ NAV ทุกวันทำการ จำนวนหน่วยกองทุนช่วงที่กองทุนยังไม่หมดอายุ เพิ่มขึ้น เมื่อมีการซื้อ ลดลง เมื่อมีการขาย กองทุนปิด อายุโครงการ (อายุกองทุน) กำหนด (เช่น 5 ปี, 7 ปี 10 ปี) กลยุทธ์การลงทุน เชิงรุก / เชิงรับ นโยบายจ่ายปันผล จ่ายปันผล / ไม่จ่ายปันผล ช่องทางซื้อขายเมื่อ IPO และเมื่อหมดอายุ ผ่าน บลจ. / ตัวแทนขาย การจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ จดทะเบียน ช่องทางซื้อขายในระหว่างที่กองทุนยังไม่หมดอายุ ผ่านตลาดหลักทรัพย์ ราคาที่ซื้อขายที่ผู้ลงทุนได้รับ ราคา Real-time ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ การประกาศ NAV ทุกวันทำการสุดท้ายของสัปดาห์ จำนวนหน่วยกองทุนช่วงที่กองทุนยังไม่หมดอายุ ไม่เปลี่ยนแปลง ETF อายุโครงการ (อายุกองทุน) ไม่กำหนดอายุ กลยุทธ์การลงทุน เชิงรับ นโยบายจ่ายปันผล จ่ายปันผล / ไม่จ่ายปันผล ช่องทางซื้อขายเมื่อ IPOและเมื่อหมดอายุ ผ่าน บลจ. / ตัวแทนขาย การจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ จดทะเบียน ช่องทางซื้อขายในระหว่างที่กองทุนยังไม่หมดอายุ ผ่านตลาดหลักทรัพย์และมี Market Maker (Market Maker เป็นผู้ดูแลสภาพคล่องในการซื้อขาย ETF โดยการร่วมซื้อขาย และพยายามให้ราคา ในตลาดฯ ใกล้เคียงกับ NAV) เข้ามาช่วยดูแลสภาพคล่อง และกำหนดราคาให้ใกล้เคียงกับ NAV ราคาที่ซื้อขายที่ผู้ลงทุนได้รับ ราคา Real-time ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ การประกาศ NAV NAV ทุกวันทำการ i-NAV ทุกนาที (i-NAV คือ NAV โดยประมาณ) จำนวนหน่วยกองทุนช่วงที่กองทุนยังไม่หมดอายุ เพิ่มขึ้น เมื่อมีการซื้อ ลดลง เมื่อมีการขาย 9. กองทุนรวมที่กำหนดระยะเวลาลงทุน (Term Fund) คือ กองทุนรวมที่ลงทุนในตราสารหนี้ (ลงทุนได้ทั้งในและต่างประเทศ) ที่มีกำหนดระยะเวลาและมีการคาดการณ์ผลตอบแทนการลงทุนชัดเจน ทั้งนี้ผู้ลงทุนไม่สามารถขายกองทุนก่อนครบกำหนดเวลา เช่น กองทุนมีกำหนดระยะเวลา 3 เดือน ผลตอบแทนคาดการณ์ 2.5% ต่อปี จะเห็นได้ว่า Term Fund มีลักษณะคล้าย เงินฝากประจำนั่นเอง 10. กองทุนทริกเกอร์ (Trigger Fund) คือ กองทุนรวมที่กำหนด ระยะเวลาลงทุนและเป้าหมายผลตอบแทนของการลงทุนไว้ชัดเจน เช่น เป้าหมายผลตอบแทน 10% ใน 1 ปี โดย Trigger Fund มีลักษณะสำคัญเพิ่มเติมดังนี้ * เป็นกองทุนปิด ที่ไม่ได้จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ * ส่วนใหญ่จะลงทุนหุ้น (ทั้งในประเทศหรือต่างประเทศ) หรือสินค้าโภคภัณฑ์ * ผู้ลงทุนไม่สามารถขายคืนกองทุนได้ หากยังไม่ครบกำหนดเวลา * กองทุนมีเป้าหมายของผลตอบแทน แต่ไม่ได้รับประกันผลตอบแทน * หากสร้างผลตอบแทนได้ตามเป้าหมาย จะปิดกองทุนและคืนเงินให้ผู้ลงทุนทันที * หากไม่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ตามเป้าหมายในเวลาที่กำหนด กองทุนจะเปลี่ยนเป็นกองทุนเปิดและให้ผู้ลงทุนสามารถซื้อขายได้ตามปกติ * ข้อเสียของกองทุน คือ กำไรจำกัดแต่ขาดทุนไม่จำกัด (Limited gain Unlimited loss) เนื่องจากผู้ลงทุนจะได้กำไรสูงสุดเท่ากับเป้าหมายของผลตอบแทน ขณะที่ผู้ลงทุนไม่สามารถกำหนดจุดตัดขายขาดทุน (Stop loss) ได้ เนื่องจากผู้ลงทุนไม่สามารถขายกองทุนได้ก่อนครบกำหนดเวลา * กองทุน Trigger Fund เหมาะกับผู้ลงทุนที่ไม่เวลาติดตามการลงทุน และเชื่อมั่นในการจับจังหวะการลงทุนของผู้จัดการกองทุน (Fund manager) 11. กองทุนรวมเพื่อผู้ลงทุนที่มิใช่รายย่อย (Accredited Investor Mutual Fund) * เป็นกองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความซับซ้อนหรือมีความเสี่ยงสูง เช่น ลงทุนในตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้สูง (High Yield Bond/Junk Bond), ลงทุนในตราสารที่ไม่ได้จัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Unrated-Bond) * กองทุนต้องไม่ลงทุนในตราสารของผู้ออกตราสารรายใดรายหนึ่งเกิน 25% * ผู้ลงทุนที่มิใช่รายย่อย (Accredited Investor: AI) เท่านั้นที่สามารถลงทุนได้ เนื่องจากผู้ลงทุนกลุ่มนี้มีศักยภาพและรับความเสี่ยงได้ ซึ่ง AI แบ่ง 2 กลุ่ม คือ - ผู้ลงทุนสถาบัน ตามนิยามของ ก.ล.ต. - ผู้ลงทุนรายใหญ่ (High Net Worth) * ต้องมีคำเตือนในเอกสารขายชัดเจนว่า ขายให้เฉพาะผู้ลงทุนที่มิใช่รายย่อย * เงินลงทุนในกองทุนขั้นต่ำครั้งแรก ≥500,000 บาท
1345160.txt
การประเมินมูลค่าและอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ 5. ปัจจัยที่ส่งผลต่ออัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ หัวข้อก่อนหน้าแสดงให้เห็นว่าราคาของอัตราผลตอบแทนกับราคาของตราสารหนี้ มีความสัมพันธ์แบบผกผันกัน ในหัวข้อนี้จะกล่าวถึงปัจจัยที่ทำให้อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้เปลี่ยนแปลง 1. อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Policy Rate) เป็นอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลาง (สำหรับประเทศไทย ธนาคารกลาง หมายถึง ธนาคารแห่งประเทศไทย) กำหนดขึ้นเพื่อให้ดอกเบี้ยอื่นๆ ได้อ้างอิง ส่งผลให้เมื่ออัตราดอกเบี้ยนโยบายเปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยต่างๆในตลาดไม่ว่าจะเป็น เงินฝาก, เงินกู้, พันธบัตร, หุ้นกู้ จะเปลี่ยนแปลงตามไปในทิศทางเดียวกันด้วย โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะมีความสัมพันธ์กับดอกเบี้ยระยะสั้น (เช่น เงินฝากระยะสั้น,หุ้นกู้ระยะสั้น) มากกว่าดอกเบี้ยระยะยาว 2. อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ (Inflation Expectation) หากผู้ลงทุนคาดว่าอัตราเงินเฟ้อในอนาคตจะสูงขึ้น ผู้ลงทุนจะต้องการผลตอบแทนจากตราสารหนี้สูงขึ้นเพื่อชดเชยกับเงินเฟ้อ 3. ความสามารถในการชำระหนี้ หากผู้ลงทุนคาดว่าผู้ออกตราสารมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะไม่สามารถชำระหนี้คืนได้ ผู้ลงทุนจะต้องการผลตอบแทนจากตราสารหนี้เพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยความเสี่ยงดังกล่าว 4. ปริมาณการออกตราสารหนี้ในตลาดแรก หากปริมาณการออกมีสูง แสดงถึงความต้องการกู้เงินที่สูงของผู้ออกตราสาร ดังนั้นผู้ออกจึงยอมที่จะกู้ในอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น 5. เงินลงทุนจากต่างประเทศ (Foreign Flow) กรณีที่ต่างประเทศเข้ามาลงทุนในตราสารหนี้ไทยเพิ่มขึ้น (เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในไทยสูง) การเข้ามาแย่งกันซื้อจะทำให้ราคาของตราสารหนี้เพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนจากตราสารหนี้ลดลง
1345146.txt
การประเมินมูลค่าและอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ 1. การประเมินมูลค่าตราสารหนี้ หมายถึง การหาราคาที่เหมาะสม (Fair Price หรือ Intrinsic Value) ของตราสารหนี้เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุน ซึ่งสามารถตัดสินได้ดังนี้ * ซื้อ เมื่อราคาที่เหมาะสม > ราคาที่ซื้อขายในปัจจุบัน (ราคาตลาด) * ขาย เมื่อราคาที่เหมาะสม < ราคาที่ซื้อขายในปัจจุบัน (ราคาตลาด) 1.1 การประเมินมูลค่าตราสารหนี้ทั่วไป หลักการของการประเมินมูลค่านั้นจะเป็นการคิดลดกระแสเงินสดที่จะทยอยได้รับในอนาคตกลับมาเป็นมูลค่าปัจจุบัน โดยใช้อัตราคิดลด (Discount Rate) ที่อัตราผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนต้องการจากการถือตราสารหนี้จนครบกำหนดไถ่ถอน โดยกระแสเงินสดที่ได้จากการลงทุนในตราสารหนี้ได้แก่ ดอกเบี้ยแต่ละงวด และเงินต้นคืนตามมูลค่าหน้าตั๋ว 1.2 การประเมินมูลค่าตราสารหนี้ที่ไม่จ่ายดอกเบี้ย (Zero Coupon Bond) เนื่องจากตราสารหนี้ชนิดนี้ไม่มีการจ่ายดอกเบี้ยระหว่างทาง ดังนี้การคำนวณจึงเป็นการคิดลดเฉพาะส่วนของมูลค่าหน้าตั๋ว (Face Value / Par Value) โดยสูตรการประเมินมูลค่า Zero Coupon Bond 1.3 สมมติฐานการนำดอกเบี้ยรับไปลงทุนต่อ ในการประเมินมูลค่าในข้อ 1.1 และ 1.2 ที่ผ่านมา มีสมมติฐานที่สำคัญในการคำนวณ คือ ผู้ลงทุนจะนำดอกเบี้ยที่ได้รับไปลงทุนต่อ ซึ่งได้อัตราผลตอบแทนเท่ากับอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้เดิม
1345142.txt
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 2. กระบวนการ วิธีการ และช่องทางการซื้อขาย 2.1 กระบวนการในการซื้อขาย รายละเอียดขั้นตอนการซื้อ 1. ผู้ซื้อส่งคำสั่งซื้อไปยัง Broker (Broker ในที่นี้หมายถึง บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โดย Broker ที่สามารถส่งคำสั่งซื้อขายไปยังระบบของตลาดหลักทรัพย์ได้ ต้องเป็น Broker ที่เป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น) 2. Broker ส่งคำสั่งซื้อเข้าตลาดหลักทรัพย์ 3. ระบบของตลาดหลักทรัพย์จับคู่การซื้อขาย และส่งข้อมูลไปยัง TCH (TCH Thailand Clearing Houses หรือ สำนักหักบัญชี ทำหน้าที่เป็นคนกลาง (Counter Party) ในการซื้อขายหลักทรัพย์ TCH เข้ามาช่วยลดความเสี่ยงของ Counter Party Risk เช่น การที่นาย ก ซื้อหลักทรัพย์จากนาย ข แต่ไม่ยอมชำระเงินให้นาย ข หรือนาย ข ไม่ยอมส่งมอบหลักทรัพย์ให้นาย ก ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 2 มี.ค. TCH จะชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ภายใน 2 วันทำการ (T+2)) 4. TCH ขายหลักทรัพย์ให้ผู้ซื้อ 5. Broker เรียกเก็บเงินจากผู้ซื้อให้ TCH 6. Broker ส่งมอบหลักทรัพย์ให้ผู้ซื้อ รายละเอียดขั้นตอนการขาย 1. ผู้ขายส่งคำสั่งขายไปยัง Broker 2. Broker ส่งคำสั่งขายเข้าตลาดหลักทรัพย์ 3. ระบบของตลาดหลักทรัพย์จับคู่การซื้อขาย และส่งข้อมูลไปยัง TCH 4. TCH ซื้อหลักทรัพย์ของผู้ขาย 5. Broker ส่งมอบหลักทรัพย์ TCH 6. Broker ส่งมอบเงินให้ผู้ขาย 2.2 วิธีการซื้อขาย ทำได้ 2 วิธี 1. วิธีจับคู่อัตโนมัติ (Automatic Order Matching: AOM) เป็นวิธีการซื้อขายที่คนส่วนใหญ่ใช้ โดยคำสั่งใดจะถูกจับคู่ก่อนหรือหลังนั้นจะพิจารณาราคาที่ดีที่สุดก่อน แล้วจึงพิจารณาว่าที่ระดับราคาเท่ากันคำสั่งใดถูกส่งมาก่อน ซึ่งหลักการนี้เรียกว่า Price then Time Priority 1) คำสั่งซื้อ ราคาที่ดีที่สุด คือ คำสั่งซื้อที่ราคาสูงที่สุด (คนที่ยินดีซื้อที่ราคาแพงกว่าจะได้คิวก่อน) 2) คำสั่งขาย ราคาที่ดีที่สุด คือ คำสั่งขายที่ราคาต่ำที่สุด (คนที่ยินดีซื้อที่ราคาถูกกว่าจะได้คิวก่อน) 2. การซื้อขายด้วยวิธีรายงาน (Trade Report) ซึ่งเดิมเรียกว่า Put–through เป็นวิธีซื้อขายแบบที่ผู้ซื้อและผู้ขายตกลงราคากันเอง และส่งข้อมูลการซื้อขายผ่านบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไปยังระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ และมี TCH เข้ามาเป็นคนกลางในการซื้อขาย (Counter Party) 1) ประเภทของ Trade Report แบ่งเป็น 2 ประเภท * ซื้อขายผ่านสมาชิก (Broker) (สมาชิก ในที่นี้หมายถึงBroker (บล.) ที่เป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์) รายเดียวกัน (one-firm trade report) ให้สมาชิกบันทึกรายการซื้อขายเข้าระบบตลาดฯ * ซื้อขายผ่านสมาชิก (Broker) คนละรายกัน (two-firm trade report) ให้ สมาชิกทั้ง 2 ราย บันทึกรายการซื้อขายเข้าระบบตลาดฯ 2) รายละเอียดของ Trade Report * Trade report แบบ Big lot - ปริมาณซื้อขาย ≥1 ล้านหุ้น หรือ มูลค่า ≥3 ล้านบาท - ซื้อขายในเวลา Trading session, Pre-close, Off-hour * Trade report แบบ Off-hour - ปริมาณซื้อขาย ≤1 ล้านหุ้น หรือ มูลค่า ≤3 ล้านบาท - ปริมาณซื้อขายตาม Board lot - ราคาซื้อขายเป็นราคาปิด หรือ ราคาเฉลี่ย - ซื้อขายในเวลา Off-hour * Trade report แบบ Foreign - ซื้อขายหลักทรัพย์ประเภท Foreign (มีเครื่องหมาย – F หลังชื่อหลักทรัพย์) เช่น PTT-F, CPALL-F - ปริมาณซื้อขาย ≤1 ล้านหุ้น หรือ มูลค่า ≤3 ล้านบาท - ซื้อขายในเวลา Trading session, Pre-close, Off-hour * Trade report แบบ Buy-in - ปริมาณซื้อขายตาม Board lot - ราคาซื้อขายตรงกับช่วงราคา - ซื้อขายในเวลา Trading session I - ซื้อขายผ่านสมาชิก (Broker) รายเดียวกัน (one-firm trade report) 2.3 ช่องทางการซื้อขาย ปัจจุบันผู้ลงทุนมีช่องทางมากมายในการส่งคำสั่งซื้อขายไปยัง Broker ดังนี้ 1. ส่งคำสั่งซื้อขายผ่านห้องค้าหลักทรัพย์ โดยการเขียนคำสั่งซื้อขาย และยื่นในห้องค้า 2. ส่งคำสั่งซื้อขายผ่านทางโทรศัพท์ โดยการโทรหาผู้แนะนำการลงทุน ซึ่งเป็นพนักงานของ Broker โดยจะมีระบบบันทึกเสียงโทรศัพท์ของ Broker 3. ส่งคำสั่งซื้อขายผ่านระบบอินเทอร์เน็ต เป็นการซื้อขาย online ผ่านระบบของ Broker 4. ส่งคำสั่งซื้อขายผ่านระบบ Direct market access (DMA) เป็นระบบซื้อขายหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ของผู้ลงทุนเอง โดยระบบของผู้ลงทุนจะส่งคำสั่งซื้อขายไปยังระบบของ Broker (ไม่ต้องผ่านผู้แนะนำการลงทุนของ Broker) และส่งต่อไปยังตลาดหลักทรัพย์ โดยวิธีการจับคู่อัตโนมัติ (Automatic Order Matching: AOM) โดยผู้ลงทุนที่สามารถซื้อขายผ่านระบบ DMA คือ 1) ผู้ลงทุนสถาบัน ตามประกาศของ ก.ล.ต. 2) บริษัทหลักทรัพย์ต่างประเทศ 5. ส่งคำสั่งซื้อขายอัตโนมัติด้วยชุดคำสั่งคอมพิวเตอร์ (Program trading/Algorithmic trading : AI) คือ ชุดคำสั่งคอมพิวเตอร์ ที่สามารถสร้างและบันทึกการซื้อขายได้อัตโนมัติ โดยระบบอัตโนมัตินี้ต้องได้รับการอนุญาตจากตลาดหลักทรัพย์ และใช้วิธีการซื้อขายด้วยวิธีการจับคู่อัตโนมัติ (Automatic Order Matching: AOM) 1) ประเภทของ Program trading แบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้ * Market making คือ Program trading ที่ใช้ในการบริหารสภาพคล่องหลักทรัพย์ของสมาชิกที่เป็น Market Maker * Program trading อื่นๆ ที่ได้รับอนุญาตจากตลาดหลักทรัพย์ เช่น Price inline, Volume inline, Time weighted average price (TWAP), volume weighted average price (VWAP) 2) แนวทางการขออนุญาตจากตลาดหลักทรัพย์ มี 2 แนวทาง คือ * ขออนุญาตเป็นรายกลยุทธ์ ทำได้โดยส่งรายละเอียดของกลยุทธ์ให้ตลาดหลักทรัพย์พิจารณาก่อนใช้งาน * ขออนุญาตใช้ชุดคำสั่งผ่านระบบบริหารความเสี่ยง สำหรับแนวทางนี้ผู้ที่ได้รับอนุญาตจะสามารถใช้งานได้ทุกกลยุทธ์ โดยต้องแจ้งกลยุทธ์ที่ต้องการใช้กับตลาดหลักทรัพย์ก่อนใช้งาน
1345182.txt
ประเภทของธุรกิจและที่มาของเงินทุนในการทำธุรกิจ 4.1 ผลตอบแทนของตราสารทุน ผลตอบแทนของตราสารทุนประกอบด้วย 1. ผลตอบแทนจากส่วนต่างราคา (Capital Gain) 2. ผลตอบแทนจากการปันผล (Dividend) 4.2 ผลตอบแทนจากการปันผล (Dividend) โดยทั่วไปแล้วเมื่อบริษัทมีกำไร บริษัทจะนำกำไรส่วนหนึ่งไปลงทุนขยายกิจการ อีกส่วนจะแบ่งคืนให้กับผู้ถือหุ้น ซึ่งเงินที่แบ่งคืนนี้เรียกว่า “เงินปันผล” (Cash Dividend) อย่างไรก็ตามในกรณีที่บริษัทต้องการกำไรทั้งหมดไปลงทุนต่อ บริษัทอาจเลือกจ่ายปันผลเป็นหุ้น (Stock Dividend) หรือไม่จ่ายเงินปันผลเลย 1. ลำดับเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงินปันผล มีตัวอย่างดังนี้ 10 เม.ย.: บริษัทประกาศว่าจะจ่ายเงินปันผล ซึ่งบริษัทจะแจ้งข้อมูล จำนวนเงินที่จ่ายปันผล, วันที่ขึ้นเครื่องหมาย XD, วันที่ปิดสมุดทะเบียน, วันที่จ่ายปันผล 6 พ.ค.: วันขึ้นเครื่องหมาย XD (Exclude Dividend) ผู้ลงทุนที่ซื้อ หุ้นในวันนี้ จะไม่ได้รับเงินปันผล 9 มิ.ย.: วันที่ผู้ถือหุ้นได้รับเงินปันผล 5 พ.ค.: เป็นวันก่อนขึ้นเครื่องหมาย XD 1 วันทำการ ซึ่งคือวันสุดท้ายที่ผู้ลงทุนซื้อหุ้น แล้วยังมีสิทธิได้รับเงินปันผล 8 พ.ค.: เป็น 2 วันทำการหลังขึ้นเครื่องหมาย XD บริษัทจะปิดสมุดทะเบียนเพื่อดูรายชื่อ ว่าในวันที่ 5 พ.ค. มีใครเป็นผู้ที่ถือหุ้นของบริษัทบ้าง และจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ที่มีรายชื่อ สำคัญ * ผู้ที่ซื้อหุ้นก่อน XD 1 วันทำการ และขายทันทีในวันที่ขึ้นเครื่องหมาย XD จะยังคงได้รับเงินปันผล แม้ว่าจะถือครองหุ้นแค่เพียง 1 วันก็ตาม อย่างไรก็ตามในวันที่ขึ้น XD ราคาหุ้นมักจะลงเท่ากับเงินปันผล * เหตุที่ต้องปิดสมุดทะเบียนหลังขึ้น XD 2 วันทำการ เนื่องรอการชำระเงินและส่งมอบหลักทรัพย์ 2. อัตราส่วนที่เกี่ยวข้องกับเงินปันผล 1) อัตราส่วนการจ่ายเงินปันผล (Dividend Payout Ratio) คือ อัตราส่วนการแบ่งจ่ายเงินปันผลจากกำไรของบริษัท 2) อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ที่ผู้ลงทุนได้รับจากการลงทุน สำคัญ * ระวังความสับสนของชื่ออัตราส่วนซึ่งมีความคล้ายคลึงกัน ระหว่างอัตราส่วนการจ่ายเงินปันผล และอัตราส่วนผลตอบแทนจากเงินปันผล
1345196.txt
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 4. หน่วยการซื้อขาย และราคาซื้อขาย 4.1 หน่วยในการซื้อขาย (Board lot) หน่วยการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่กำหนดบนการซื้อขายหลัก (Main Board) มีการกำหนดไว้ดังนี้ กรณี ราคาหุ้น < 500 บาท 1 หน่วย เท่ากับ 100 หุ้น เช่น ซื้อหุ้นราคา 20 บาท 1 หน่วย จะได้หุ้นจำนวน 100 หุ้น ซึ่งคิดเป็นมูลค่าการซื้อขายที่ 20x100 = 2,000 บาท และไม่สามารถซื้อขายหุ้นในจำนวนที่หาร 100 ไม่ลงตัว เช่น ไม่สามารถซื้อขายครั้งและ 1,550 หุ้น กรณีราคาหุ้น ≥ 500 บาทเป็นระยะเวลา 6 เดือนติดต่อกัน 1 หน่วย เท่ากับ 50 หุ้น เช่น ซื้อหุ้นราคา 800 บาท 1 หน่วย จะได้หุ้นจำนวน 50 หุ้น ซึ่งคิดเป็นมูลค่าการซื้อขายที่ 800x50 = 40,000 บาท และไม่สามารถซื้อขายหุ้นในจำนวนที่หาร 50 ไม่ลงตัว เช่น ไม่สามารถซื้อขายครั้งและ 1,570 หุ้น 4.2 ช่วงราคาซื้อขาย (Spread/Trick sizes) คือ ช่วงการเคลื่อนไหวของราคาซื้อขายหลักทรัพย์ โดยช่วงของราคาจะเปลี่ยนไปตามราคาปัจจุบันของหลักทรัพย์ เช่น กรณี หุ้นมีราคา 5.20 บาท ราคาในการซื้อขายจะขึ้นลงครั้งละ 0.05 บาท (เพิ่มเป็น 5.25 บาท หรือ ลดเป็น 5.15 บาท) 4.3 ราคาซื้อขายสูงสุดต่ำสุด (Ceiling & Floor) ระหว่างวัน ตลาดหลักทรัพย์ได้กำหนดราคาสูงสุดต่ำสุดไว้ดังนี้ หุ้นสามัญทั่วไป สูงสุด +30% ต่ำสุด -30% ของราคาปิดวันก่อนหน้า หุ้นสามัญวันที่ XD สูงสุด +30% ต่ำสุด -30% ของราคาปิดวันก่อนหน้าที่หักด้วยปันผล หุ้นสามัญวันที่ซื้อขายวันแรก สูงสุด +300% ต่ำสุด -300% ของราคา IPO (หลักทรัพย์ที่เสนอขายให้กับประชาชนครั้งแรก (Initial Public Offering)) Warrant สูงสุด +30% ต่ำสุด -30% ของราคาปิดสินทรัพย์อ้างอิงวันก่อนหน้า x สิทธิการซื้อสินทรัพย์อ้างอิงของ 1 Warrant ข้อยกเว้น ราคาต่ำสุดที่คำนวณได้น้อยกว่า 0.01 ให้ราคาต่ำสุดเท่ากับ 0.01 การเปลี่ยนแปลง 1 ช่วงราคามากกว่า +/- 30% (เช่นราคาหุ้นอยู่ที่ 0.02 บาท) ราคาสูงสุดเท่ากับ +0.01 บาท บวกราคาปิดวันก่อนหน้า ราคาต่ำสุดเท่ากับ -0.01 บาท ลบราคาปิดวันก่อนหน้า
1345184.txt
ความรู้พื้นฐานของตราสารหนี้ 3. องค์ประกอบ และชื่อย่อของตราสารหนี้ 3.1 องค์ประกอบของตราสารหนี้ 1. มูลค่าหน้าตั๋ว/มูลค่าที่ตราไว้ (Face Value/Par Value) คือ เงินที่ผู้ลงทุนจะได้รับคืนเมื่อครบกำหนด ซึ่งโดยปกติแล้วตราสารหนี้จะมีมูลค่าหน้าตั๋วเท่ากับ 1,000 บาท 2. อัตราการจ่ายดอกเบี้ย (Coupon Rate) คือ อัตราดอกเบี้ยที่ผู้ลงทุนจะได้รับ 3. ความถี่ในการจ่ายดอกเบี้ย (Coupon Frequency) ในการจ่ายดอกเบี้ยนั้นจะมีการกำหนดว่าจะจ่ายเมื่อไร ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความถี่ในการจ่ายดอกเบี้ยใน 1 ปี เช่น จ่ายดอกเบี้ยทุกไตรมาส (4 ครั้งต่อปี), จ่ายทุก 6 เดือน (2 ครั้งต่อปี) หรือ จ่ายทุกปี 4. วันครบกำหนดไถ่ถอน (Maturity Date) คือ วันที่ครบกำหนดของตราสารหนี้ 5. ชื่อผู้ออก (Issuer) คือ ชื่อของผู้ออกตราสารหนี้ ซึ่งคือผู้ขอกู้นั่นเอง 6. ลักษณะของสิทธิแฝง (Embedded Option) ตราสารหนี้บางประเภทอาจมีสิทธิพิเศษบางอย่างติดมาด้วย เช่น สิทธิในการให้ผู้ออกซื้อตราสารหนี้คืนก่อนครบกำหนด 7. ข้อสัญญา (Covenants) คือ พันธสัญญาที่ผู้ออกตราสารให้ผู้ลงทุนเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ลงทุนมากยิ่งขึ้น เช่น สัญญาว่าจะไม่จ่ายเงินปันผลมากเกินไปเพื่อให้เหลือเงินสดไว้ชำระหนี้, จะไม่กู้หนี้สินเพิ่มเติมกว่าระดับที่กำหนดเพื่อให้ไม่มีภาระหนี้สินมากเกินไป 3.2 ชื่อย่อของตราสารหนี้ แบ่งเป็น 2 ประเภทดังนี้ 1. ชื่อย่อของตราสารหนี้ระยะยาว (อายุ >1 ปี) 1) ตัวอย่างชื่อย่อของตราสารหนี้ระยะยาว BOT256A * BOT = Bank of Thailand ธนาคารแห่งประเทศไทย * LB = Loan Bond พันธบัตรรัฐบาล * ILB = Inflation-Linked bond พันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อ * SB = Saving Bond พันธบัตรออมทรัพย์ * กรณีผู้ออกเป็นบริษัทเอกชน ชื่อย่อนี้จะเป็นชื่อย่อของบริษัทผู้ออก 2) ตัวอย่างเดือนที่ครบกำหนดไถ่ถอน * สัญลักษณ์ 1 – 9 = เดือน 1 – 9 * สัญลักษณ์ O, N, D = เดือน 10, 11, 12 2. ชื่อย่อของตราสารหนี้ระยะสั้น (อายุ ≤1 ปี) 1) ตัวอย่างชื่อย่อของตราสารหนี้ระยะสั้น TB25606A * TB = Treasury Bill ตั๋วเงินคลัง * CB = Central Bank Bill พันธบัตรระยะสั้นที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย
1345171.txt
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 3. เวลาในการซื้อขาย และการคำนวณราคาเปิด/ราคาปิด 3.1 เวลาในการซื้อขาย ช่วงเวลา รายละเอียด 9.30 – 10.00 น. Pre-opening I (ก่อนเปิดตลาดเช้า) ระบบคำนวณราคาเปิดของหลักทรัพย์ช่วงเช้า จากคำสั่งซื้อขายของนักลงทุน โดยตลาดจะสุ่มเวลาในการเปิดตลาด (Random) ในช่วง 9.55 – 10.00 น. 10.00 – 12.30 น. Trading Session I (ซื้อ-ขาย ช่วงเช้า) ตลาดเปิดซื้อขายช่วงเช้า 12.30 – 14.00 น. พักการซื้อขาย คือ พักการซื้อขายระหว่างวัน 14.00 – 14.30 น. Pre-opening II (ก่อนเปิดตลาดบ่าย) ระบบคำนวณราคาเปิดของหลักทรัพย์ช่วงบ่าย จากคำสั่งซื้อขายของนักลงทุน โดยตลาดจะสุ่มเวลาในการเปิดตลาด (Random) ในช่วง 14.25 – 14.30 น. 14.30 – 16.30 น. Trading Session II ซื้อ-ขาย ช่วงบ่าย ตลาดเปิดซื้อขายช่วงบ่าย 16.30 – 16.40 น. Pre-close (ก่อนปิดตลาดบ่าย) ระบบคำนวณราคาเปิดของหลักทรัพย์ช่วงบ่าย จากคำสั่งซื้อขายของนักลงทุน โดยตลาดจะสุ่มเวลาในการปิดตลาด (Random) ในช่วง 16.35 – 16.40 น. 16.40 – 17.00 น. Off-hour trading (ช่วงซื้อขายนอกเวลา) ปิดรับคำสั่งซื้อขายทั่วไป แต่เปิดให้สามารถซื้อขายนอกเวลาด้วยวิธี Trade report เท่านั้น 3.2 การคำนวณราคาเปิดและราคาปิด 1. ประเภทของคำสั่งซื้อขายในช่วงก่อนเปิด (Pre-opening) และก่อนปิดตลาด (Pre-close) 1) คำสั่งแบบระบุราคา * Limit Price Order คือ การส่งคำสั่งซื้อ/ขายที่มีการระบุราคาแน่นอน เช่น คำสั่งซื้อหุ้น A ที่ 10.20 บาท, คำสั่งขายหุ้น B ที่ราคา 20.20 บาท 2) คำสั่งแบบระบุเงื่อนไข * ATO (at the open) คือ การส่งคำสั่งเสนอซื้อ/ขายที่ราคาเปิดตลาด ซึ่งเปรียบเสมือนการยินดีซื้อที่ราคาเปิดไม่ว่าราคาเปิดจะเป็นเท่าไรก็ตาม (หรือขายที่ราคาเปิดไม่ว่าราคาเปิดจะเป็นเท่าไรก็ตาม) โดยคำสั่งนี้จะใช้ได้ทั้งตอนก่อนเปิดตลาดเช้า และก่อนเปิดตลาดบ่าย * ATC (at the close) คือ การส่งคำสั่งเสนอซื้อ/ขายที่ราคาปิดตลาด ซึ่งเปรียบเสมือนการยินดีซื้อที่ราคาปิดไม่ว่าราคาปิดจะเป็นเท่าไรก็ตาม (หรือขายที่ราคาปิดไม่ว่าราคาปิดจะเป็นเท่าไรก็ตาม) โดยคำสั่งนี้จะใช้ได้ตอนก่อนปิดตลาดบ่าย 2. การคำนวณราคาเปิดและราคาปิด มีหลักการสำคัญ คือ ต้องเป็นราคาที่ทำให้เกิดปริมาณการซื้อขายสูงสุด
1345183.txt
ประเภทของธุรกิจและที่มาของเงินทุนในการทำธุรกิจ 3. ประเภทของตราสารทุน ตราสารทุนสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1.หุ้นสามัญ 2.หุ้นบุริมสิทธิ 3.1 หุ้นสามัญ (Common Stock) ซึ่งคนทั่วไปมักเรียกสั้นๆ ว่า “หุ้น” เป็นตราสารที่ผู้ลงทุนมีฐานะเป็นเจ้าของกิจการ ที่มีลักษณะของสิทธิ์และประเภท ดังนี้ 1. สิทธิ์ของผู้ถือหุ้นสามัญ 1. สิทธิ์การออกเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้น ในการประชุมผู้ถือหุ้นนั้นมักมีการให้ออกเสียง (Vote) เพื่อตัดสินใจเรื่องที่สำคัญต่อกิจการ เช่น การคัดเลือกผู้บริหารกิจการ, การเข้าซื้อกิจการอื่น, การขายกิจการให้ผู้อื่น การจ่ายเงินปันผล ทั้งนี้หุ้น 1 หุ้น มีค่าเท่ากับเสียง 1 เสียง ดังนั้นผู้ที่ถือหุ้นจำนวนมากจะมีสิทธิ์ในการออกเสียงมากกว่าผู้ที่ถือหุ้นในจำนวนน้อย 2. สิทธิ์ในการรับเงินปันผล ซึ่งจำนวนเงินปันผลขึ้นอยู่กับผลประกอบการและนโยบายการจ่ายเงินปันผล 3. สิทธิ์ในการจองหุ้นสามัญเพิ่มทุน 4. กรณีบริษัทล้มละลายและต้องขายสินทรัพย์เพื่อชำระหนี้ บริษัทจะนำเงินไปจ่ายคืนให้ เจ้าหนี้ (ธนาคารและผู้ถือหุ้นกู้ของบริษัท) ผู้ถือหุ้นบุริสิทธิ และผู้ถือหุ้นสามัญ ตามลำดับ 2. ประเภทของหุ้นสามัญ สามารถใช้เกณฑ์ในการแบ่งได้ 2 แบบ คือ 1. แบ่งตามเกณฑ์ลักษณะของหุ้นสามัญ 2. แบ่งตามเกณฑ์ขนาดของหุ้นสามัญ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 1. แบ่งตามเกณฑ์ลักษณะของหุ้นสามัญ 1. Blue-Chip Stock: หุ้นใหญ่แข็งแกร่ง * เป็นหุ้นของกิจการขนาดใหญ่ที่ก่อตั้งมานาน * มักมีฐานะทางการเงินแข็งแกร่งและเป็นผู้นำตลาด * มีกำไรและจ่ายปันผลสม่ำเสมอ * เป็นหุ้นที่อยู่ในดัชนี SET50 (ดัชนี SET 50 คือ ดัชนีที่ประกอบด้วยหุ้นไทยที่มีขนาดใหญ่ที่สุด 50 บริษัท และมีสภาพคล่องในการซื้อขาย) 2. Growth Stock: หุ้นเติบโต * เป็นหุ้นที่มีรายได้และกำไรเติบโตสูง * ไม่จ่ายปันผลหรือปันผลน้อย เนื่องจากนำกำไรไปขยายกิจการ * มีค่า P/E Ratio และ P/B Ratio สูง (P/E Ratio และ P/B Ratio คือ อัตราส่วนทางการเงิน ที่แสดงความถูกหรือแพงของราคาหุ้น โดยหากอัตราส่วนที่มีค่าสูง แสดงถึงหุ้นมีราคาแพง) เนื่องจากผู้ลงทุนเชื่อว่ากิจการจะมีการเติบโตสูงในอนาคต 3. Value Stock: หุ้นคุณค่า * หุ้นที่มีค่า P/E Ratio และ P/B Ratio ต่ำ เนื่องจากผู้ลงทุนคาดการณ์การเติบโตต่ำหรือติดลบ * อัตราผลตอบแทนจากปันผลสูง (Dividend Yield) (Dividend Yield = เงินปันผล / ราคาหุ้น ดังนั้นเมื่อราคาหุ้นถูกทำให้ Dividend Yield สูง) เนื่องจากราคาหุ้นถูก 4. Income Stock / Dividend Stock: หุ้นปันผล * หุ้นที่จ่ายปันผลได้สูงและสม่ำเสมอ มักถูกเรียกว่า ”หุ้นปันผล” * จ่ายได้สม่ำเสมอเนื่องจากบริษัทมีกำไรที่มีเสถียรภาพ * อัตราผลตอบแทนจากปันผลสูง (Dividend Yield) เนื่องจากนำกำไรส่วนใหญ่ที่ได้มาจ่ายปันผล 5. Defensive Stock: หุ้นตั้งรับ * เป็นหุ้นที่มีราคาไม่ค่อยขึ้นลงตามเศรษฐกิจ * ราคาหุ้นมักลงน้อย ในภาวะที่เศรษฐกิจไม่ดี * เป็นหุ้นของบริษัทที่ขายสินค้าจำเป็น เช่น สาธารณูปโภค, อาหารและเครื่องดื่ม, ยารักษาโรค 6. Cyclical Stock: หุ้นวัฏจักร * ราคาหุ้นมักขึ้นลงตามภาวะเศรษฐกิจ * เป็นหุ้นบริษัทที่ราคาสินค้ามักมีมูลค่าสูงหรือราคาสินค้าขึ้นลงตามภาวะเศรษฐกิจ เช่น รถยนต์, อสังหาฯ, วัสดุก่อสร้าง 7. Speculative Stock: หุ้นเก็งกำไร * เป็นหุ้นของบริษัทใหม่หรือบริษัทขนาดเล็ก * งบการเงินในอดีตมักขาดทุน * บริษัทมีแผนธุรกิจหรือมีข่าวที่ทำให้ผู้ลงทุนเชื่อว่าธุรกิจจะเติบโตได้ในอนาคต 8. Penny Stock: หุ้นเหรียญ * หุ้นที่มีราคาซื้อขายต่อหน่วยต่ำ (ในสหรัฐฯ คือ ราคาต่ำว่า 5 ดอลลาร์, ในสหราชอาณาจักร United Kingdom คือ ต่ำว่า 1 ปอนด์) 2. แบ่งตามเกณฑ์มูลค่าตลาด (มูลค่าตลาด คือ มูลค่าปัจจุบันของบริษัททั้งบริษัท ซึ่ง = ราคาหุ้น x จำนวนหุ้น) ของหุ้นสามัญ สำหรับประเทศไทย 1. Large-cap Stock (หุ้นใหญ่) คือ หุ้นที่อยู่ในดัชนี SET50 2. Mid-cap Stock (หุ้นกลาง) คือ หุ้นลำดับที่ 51 – 100 ใน ดัชนี SET100 (ดัชนี SET 100 คือ ดัชนีที่ประกอบด้วยหุ้นไทยที่มีขนาดใหญ่ที่สุด 100 บริษัท ที่มีสภาพคล่องในการซื้อขาย) 3. Small-cap Stock (หุ้นเล็ก) คือ หุ้นทั้งหมดที่ไม่อยู่ใน ดัชนีSET 100 สำหรับสหรัฐอเมริกา 1. Mega-cap Stock หุ้นที่มีมูลค่าตลาด >200,000 ล้านดอลลาร์ 2. Large-cap Stock หุ้นที่มีมูลค่าตลาด 10,000 – 200,000 ล้านดอลลาร์ 3. Mid-cap Stock หุ้นที่มีมูลค่าตลาด 2,000 – 10,000 ล้านดอลลาร์ 4. Small-cap Stock หุ้นที่มีมูลค่าตลาด 300 – 2,000 ล้านดอลลาร์ 5. Micro-cap Stock หุ้นที่มีมูลค่าตลาด 50 – 300 ล้านดอลลาร์ 6. Nano-Cap Stock หุ้นที่มีมูลค่าตลาด <50 ล้านดอลลาร์ 3.2 หุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Stock) เป็นตราสารทุนที่มีลักษณะผสมของหุ้นสามัญและตราสารหนี้ มักถูกเรียกว่าเป็นตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน (Hybrid Securities) เนื่องจากผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิมีฐานะเป็นเจ้าของกิจการเหมือนหุ้นสามัญ แต่ผู้ลงทุนได้ปันผลในอัตราคงที่คล้ายกับดอกเบี้ยจากตราสารหนี้ โดยหุ้นบุริมสิทธิมีรายละเอียดที่สำคัญดังนี้ 1. สิทธิ์ของผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ 1) มีฐานะเป็นเจ้าของกิจการ 2) ไม่มีสิทธิ์การออกเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้น 3) ได้รับเงินปันผลในอัตราแน่นอน แต่อาจไม่ได้ทุกงวดหากบริษัทขาดทุน และผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะได้รับปันผลก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ 4) กรณีบริษัทล้มละลายและต้องขายสินทรัพย์เพื่อชำระหนี้ บริษัทจะนำเงินไปจ่ายคืนให้ เจ้าหนี้ (ธนาคารและผู้ถือหุ้นกู้ของบริษัท) ผู้ถือหุ้นบุริสิทธิ และผู้ถือหุ้นสามัญ ตามลำดับ 2. ประเภทของหุ้นบุริมสิทธิ 1) หุ้นบุริมสิทธิชนิดสะสม กรณีที่บางปีบริษัทไม่สามารถจ่ายเงินปันผลได้ เงินปันผลที่จ่ายไม่ได้นี้จะถูกสะสมไว้ และไปจ่ายพร้อมกับงวดหน้า เช่น หุ้นบุริมสิทธิ ราคา 1,000 บาท อัตราการปันผล 10% ต่อปี และไม่ได้จ่ายปันผลมา 3 ปี ดังนั้นในปีที่ 4 ต้องจ่ายปันผลเป็นจำนวน (1,000 x 10%) x 4 = 400 บาท (เป็นปันผลที่ถูกสะสมมา 300 บาท และงวดปัจจุบัน 100 บาท) 2) หุ้นบุริมสิทธิชนิดไม่สะสม ไม่มีการสะสมเงินปันผลงวดที่จ่ายไม่ได้ 3) หุ้นบุริมสิทธิชนิดร่วมรับ ผู้ลงทุนจะได้ปันผลจากหุ้นบุริมสิทธิบวกกับปันผลส่วนเพิ่มโดยมีเงื่อนไข เช่น ได้เงินปันผลส่วนเพิ่มในกรณีที่ปันผลของหุ้นสามัญสูงกว่าปันผลของหุ้นบุริมสิทธิ 4) หุ้นบุริมสิทธิชนิดสามารถไถ่ถอนคืนได้ ผู้ออกหุ้นบุริมสิทธิมีสิทธิในการซื้อหุ้นบุริมสิทธิคืนในราคาที่ผู้ออกกำหนดไว้ในวันที่ออกหุ้นบุริมสิทธิได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าผู้ลงทุนจะเสียเปรียบ เนื่องจากหากราคาหุ้นบุริมสิทธิสูงขึ้นกว่าราคาที่กำหนดไว้ผู้ออกอาจใช้สิทธิซื้อหุ้นบุริมสิทธิคืน 5) หุ้นบุริมสิทธิชนิดมีกองทุนเพื่อไถ่ถอน ผู้ออกหุ้นบุริมสิทธิต้องทยอยเก็บสะสมเงินเพื่อนำมาซื้อหุ้นบุริมสิทธิคืนจากผู้ลงทุน 6) หุ้นบุริมสิทธิชนิดแปลงสภาพได้ เป็นหุ้นบุริมสิทธิที่ให้สิทธิกับผู้ลงทุน ในการแปลงหุ้นบุริมสิทธิเป็นหุ้นสามัญได้ 7) หุ้นบุริมสิทธิชนิดไม่จ่ายเงินปันผล หุ้นบุริมสิทธิชนิดนี้จะมีกำหนดอายุที่แน่นอน (โดยทั่วไปมีอายุระหว่าง 5-7 ปี) และเนื่องจากไม่มีการจ่ายปันผล ผู้ลงทุนจะได้กำไรจากราคาที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามระยะเวลา
1345195.txt
ความรู้พื้นฐานของตราสารหนี้ 5. ประเภทของตราสารหนี้ ในการแบ่งประเภทของตราสารหนี้นั้น มีวิธีการแบ่งหลากหลายวิธี ซึ่งสรุปได้ดังนี้ แบ่งตามอายุของตราสาร ตราสารหนี้ระยะสั้น (อายุ ≤1 ปี) ตราสารหนี้ระยะยาว (อายุ >1 ปี) ตราสารหนี้ที่ไม่กำหนดอายุไถ่ถอน แบ่งตามผู้ออกตราสาร ตราสารหนี้ภาครัฐ ตราสารหนี้ภาคเอกชน แบ่งตามลักษณะการถือ ตราสารหนี้แบบมีใบตราสาร (Scrip) ตราสารหนี้แบบไม่มีใบตราสาร (Scripless) แบ่งตามวิธีจ่ายดอกเบี้ย ตราสารหนี้ชนิดจ่ายดอกเบี้ยคงที่ (Fixed interest rate bond) ตราสารหนี้ชนิดจ่ายดอกเบี้ยลอยตัว (Floating interest rate bond) ตราสารหนี้ชนิดไม่จ่ายดอกเบี้ย (Zero Coupon Bond) แบ่งตามวิธีคืนเงินต้น ตราสารหนี้ชนิดคืนเงินต้นครั้งเดียวเมื่อครบกำหนดไถ่ถอน ตราสารหนี้ชนิดทยอยคืนเงินต้น (Amortizing Bond) แบ่งตามสิทธิเรียกร้อง หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ (Senior Bond) หุ้นกู้ด้อยสิทธิ (Subordinated Bond) แบ่งตามการค้ำประกัน ตราสารหนี้ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน (Secured Bond) ตราสารหนี้ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน (Unsecured Bond) ตราสารหนี้มีการค้ำประกัน (Guaranteed Bond) แบ่งตามสิทธิแฝง ตราสารหนี้ที่ผู้ออกมีสิทธิไถ่ถอนคืนก่อนครบกำหนด (Callable Bond) ตราสารหนี้ที่ผู้ลงทุนมีสิทธิเรียกคืนเงินกู้ก่อนครบกำหนด (Puttable Bond) หุ้นกู้แปลงสภาพ (Convertible Bond) ตราสารหนี้อื่นๆ ตราสารหนี้ชนิดจ่ายดอกเบี้ยโดยอ้างอิงกับตัวแปร พันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อ (Inflation-Linked bond) หุ้นกู้ระหว่างประเทศ (International Bond) หุ้นกู้ในประเทศที่จำหน่ายในสกุลเงินต่างประเทศ (FX Bond) ตราสารหนี้จากการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ (Securitization) ตราสารศุกูก (Sukuk) 5.1 แบ่งตามอายุของตราสาร 1. ตราสารหนี้ระยะสั้น คือ ตราสารหนี้ที่อายุ ≤1 ปี เช่น * ตั๋วเงินคลัง ซึ่งออกโดยกระทรวงการคลัง * พันธบัตรระยะสั้น ซึ่งออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย * ตั๋วแลกเงิน (Bill of Exchange: BE) ซึ่งออกโดยบริษัทเอกชน * ตั๋วสัญญาใช้เงิน (Promissory Note: PN) เป็นสัญญากู้ระยะสั้นที่ลูกค้าธนาคารขอกู้จากธนาคาร (ลูกค้าถือเป็นผู้ออกตราสาร) * หุ้นกู้ระยะสั้น (Short-term Debenture) ซึ่งออกโดบริษัทเอกชน 2. ตราสารหนี้ระยะยาว คือ ตราสารหนี้ที่อายุ >1 ปี เช่น * พันธบัตรรัฐบาล (Government Bond) ซึ่งออกโดยกระทรวงการคลัง * พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ (State Own Enterprise Bond) ซึ่งออกโดยรัฐวิสาหกิจ * พันธบัตรระยะยาว ซึ่งออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย * หุ้นกู้ระยะยาว (Long-term Corporate Bond) ซึ่งออกโดบริษัทเอกชน 3. ตราสารหนี้ที่ไม่กำหนดอายุไถ่ถอน (Perpetual Bond) คือ ตราสารหนี้ที่จะชำระดอกเบี้ยไปตลอด และไม่มีการชำระเงินต้นคืน 5.2 แบ่งตามผู้ออกตราสาร 1. ตราสารหนี้ภาครัฐ คือ ตราสารหนี้ที่ออกโดยภาครัฐ (กระทรวงการคลัง, รัฐวิสาหกิจ, ธนาคารแห่งประเทศไทย) ซึ่งในทางทฤษฎีแล้วถือว่าเป็นตราสารที่ปราศจากความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ 2. ตราสารหนี้ภาคเอกชน คือ ตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทเอกชน ซึ่งแต่ละบริษัทอาจมีระดับความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้แตกต่างกันขึ้นอยู่กับความมั่นคงของบริษัท และด้วยระดับความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ที่สูงกว่าตราสารหนี้ภาครัฐ ทำให้ตราสารหนี้ภาคเอกชนที่มีอายุเท่ากับตราสารหนี้ภาครัฐมักให้ผลตอบแทนสูงกว่า 5.3 แบ่งตามลักษณะการถือ 1. ตราสารหนี้แบบมีใบตราสาร (Scrip) เมื่อมีการซื้อขายต้องนำใบตราสารหนี้ไปสลักหลังเพื่อโอนกรรมสิทธิความเป็นเจ้าของ แล้วส่งมอบใบตราสารหนี้ 2. ตราสารหนี้แบบไม่มีใบตราสาร (Scripless) จะใช้วิธีการบันทึกข้อมูลในคอมฯ เมื่อมีการซื้อขายจึงไม่จำเป็นต้องมีการสลักหลังและการส่งมอบใบตราสารหนี้ 5.4 แบ่งตามวิธีการจ่ายดอกเบี้ย 1. ตราสารหนี้ที่จ่ายดอกเบี้ยคงที่ คือ ตราสารหนี้ที่มีกำหนดอัตราดอกเบี้ยแน่นอน เช่น 5% ต่อปี ทั้งนี้ตราสารหนี้ส่วนใหญ่จะเป็นแบบจ่ายดอกเบี้ยคงที่ 2. ตราสารหนี้ที่จ่ายดอกเบี้ยลอยตัว คือ ตราสารหนี้ที่ดอกเบี้ยสามารถปรับขึ้นลงได้ ตามอัตราดอกเบี้ยที่อ้างอิง เช่น การกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่ MLR+1 (MLR (Minimum Load Rate) คือ อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารเรียกเก็บจากลูกค้าชั้นดี มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน (เช่น ให้กับผู้ที่กู้ซื้อบ้าน) ทั้งนี้ ดอกเบี้ย MLR ของแต่ละธนาคารสามารถปรับขึ้นลงได้ตามภาวะเศรษฐกิจและกลยุทธ์ของธนาคาร)=> สมมติ MLR เท่ากับ 5% ดอกเบี้ยก็จะอยู่ที่ระดับ 5+1 = 6% แต่หาก MLR เปลี่ยนแปลงเป็น 5.5% ดอกเบี้ยก็จะอยู่ที่ระดับ 5.5 + 1 = 6.5% นั่นเอง และเนื่องจากดอกเบี้ยที่สามารถเปลี่ยนแปลงขึ้นลงได้ส่งผลให้ผู้ออกตราสารซึ่งเป็นผู้กู้กังวลว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับขึ้นสูงเกินกว่าที่ตนเองจะรับได้ ขณะที่ผู้ลงทุนก็กังวลว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับลงจนต่ำเกินไป ตราสารหนี้แบบลอยตัวจึงอาจมีกำหนด Cap และ Floor 1) Cap เป็นการกำหนดเพดานขั้นสูงของอัตราดอกเบี้ย เพื่อให้ผู้ออกตราสารใช้ป้องกันความเสี่ยง ไม่ให้อัตราดอกเบี้ยขึ้นสูงเกินกว่าระดับที่ตนเองรับได้ 2) Floor เป็นการกำหนดอัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ เพื่อให้ผู้ลงทุนใช้ป้องกันความเสี่ยง ไม่ให้อัตราดอกเบี้ยลดลงต่ำกว่าระดับผลตอบแทนขั้นต่ำที่ตนเองต้องการ 3. ตราสารหนี้ที่ไม่จ่ายดอกเบี้ย (Zero Coupon Bond) เป็นตราสารหนี้ที่ไม่มีการจ่ายดอกเบี้ยแต่จะเสนอขายในราคาที่ต่ำกว่าราคาหน้าตั๋ว ทำให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างราคา (Capital Gain) โดยตั๋วเงินคลังถือเป็นตราสารหนี้ชนิดไม่จ่ายดอกเบี้ยประเภทหนึ่ง 5.5 แบ่งตามวิธีคืนเงินต้น 1. ตราสารหนี้ชนิดคืนเงินต้นครั้งเดียวเมื่อครบกำหนดไถ่ถอน (Bullet Bond) เป็นรูปแบบของตราสารหนี้ส่วนใหญ่ 2. ตราสารหนี้ชนิดทยอยคืนเงินต้น (Amortizing Bond) ตราสารหนี้ที่ผู้กู้ชำระดอกเบี้ยพร้อมทยอยคืนเงินต้น ซึ่งมีหลักการเหมือนการผ่อนบ้านนั่นเอง (เงินผ่อนบ้านแต่ละงวด ส่วนหนึ่งจะเป็นดอกเบี้ยและอีกส่วนเป็นเงินต้น) 5.6 แบ่งตามสิทธิการเรียกร้อง ซึ่งหมายถึงลำดับในการได้รับเงินชำระหนี้ ในกรณีที่บริษัทล้มละลายและต้องขายสินทรัพย์เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ 1. หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ (Senior Bond) จะได้รับเงินชำระหนี้ก่อนหุ้นกู้ด้อยสิทธิ 2. หุ้นกู้ด้อยสิทธิ (Subordinate Bond) 5.7 แบ่งตามการค้ำประกัน 1. ตราสารหนี้ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน (Secured Bond) คือ ตราสารหนี้ที่ผู้ออกนำสินทรัพย์ มาค้ำประกันในการขอกู้ยืม ซึ่งในกรณีเกิดการผิดนัดชำระหนี้หรือผู้ออกตราสารล้มละลาย ผู้ลงทุนจะมีสิทธิในสินทรัพย์ที่นำมาค้ำประกัน 2. ตราสารหนี้ที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน (Unsecured Bond) 3. ตราสารหนี้มีการค้ำประกัน (Guaranteed Bond) เป็นตราสารหนี้ที่มีการค้ำประกันโดยบุคคลที่สาม ซึ่งผู้ค้ำประกันจะเป็นผู้ชำระหนี้ทั้งดอกเบี้ยและเงินต้นแทนให้ กรณีที่มีการผิดนัดชำระหนี้ ทั้งนี้ลำดับในการได้รับเงินกรณีบริษัทล้มละลายเป็นดังนี้ 1.ตราสารหนี้ที่มีการค้ำประกัน 2.หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ 3.หุ้นกู้ด้อยสิทธิ 4.หุ้นบุริมสิทธิ 5.หุ้นสามัญ 5.8 แบ่งตามสิทธิแฝง 1. ตราสารหนี้ที่ผู้ออกมีสิทธิไถ่ถอนคืนก่อนครบกำหนด (Callable Bond) คือ ตราสารหนี้ที่ให้สิทธิกับผู้ออกตราสารในการไถ่ถอนตราสารหนี้คืนก่อนครบกำหนดสัญญา ซึ่งโดยทั่วไปราคาไถ่ถอนก่อนกำหนด (Call Price) นี้จะสูงกว่ามูลค่าหน้าตั๋ว (Par Value) เพื่อไม่ได้ผู้ลงทุนเสียประโยชน์ โดยผู้ออกตราสารมักใช้สิทธิในการไถ่ถอนคืนก่อนกำหนดเมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับตัวลดลง (เพื่อ Refinance => โดยไถ่ถอนคืนตราสารหนี้ตัวเก่า และไปออกตราสารหนี้ตัวใหม่ที่จ่ายดอกเบี้ยต่ำลง) และเนื่องจาก Callable Bond ให้สิทธิกับผู้ออกตราสาร ดังนั้นจึงมีดอกเบี้ยสูงกว่าหุ้นกู้ที่ไม่มีสิทธิแฝง 2. ตราสารหนี้ที่ผู้ลงทุนมีสิทธิเรียกคืนเงินกู้ก่อนครบกำหนด (Puttable Bond) คือ หุ้นกู้ที่ให้สิทธิกับผู้ลงทุนเรียกคืนเงินกู้ก่อนครบกำหนด โดยราคาที่เรียกคืนนี้เรียกว่า Put Price ซึ่งโดยทั่วไป Put Price จะเท่ากับ Par Value ทั้งนี้ลงทุนมักใช้สิทธิในการเรียกคืนเงินเมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับตัวสูงขึ้น เพื่อนำเงินที่ได้รับคืน ไปลงทุนตราสารหนี้ใหม่ที่ให้อัตราดอกเบี้ยสูงกว่า และเนื่องจาก Puttable Bond ให้สิทธิกับผู้ลงทุน ดังนั้นจึงมีดอกเบี้ยต่ำกว่าหุ้นกู้ที่ไม่มีสิทธิแฝง 3. หุ้นกู้แปลงสภาพ (Convertible Bond) คือ หุ้นกู้ที่ให้สิทธิกับผู้ลงทุนในการแปลงเป็นหุ้นสามัญได้ ซึ่งจะมีกำหนดราคาแปลงสภาพ (Conversion Price) และอัตราส่วนการแปลงสภาพ (Conversion Ratio) หุ้นกู้แปลงสภาพมีลักษณะเสมือน ตราสารหนี้ที่ไม่มีสิทธิแฝง+สิทธิในการแปลงเป็นหุ้นสามัญ ส่งผลให้การเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นสามัญมีผลต่อราคาหุ้นกู้แปลงสภาพดังนี้ 1) ราคาหุ้นสามัญเพิ่มขึ้น ราคาหุ้นกู้แปลงสภาพจะเพิ่มขึ้นตามเพราะจะได้กำไรมากขึ้นเมื่อแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญ 2) ราคาหุ้นสามัญลดลง ราคาหุ้นกู้แปลงสภาพจะลดลงถึงระดับหนึ่งเท่านั้น และในระดับนี้ราคาหุ้นกู้แปลงสภาพจะมีลักษณะเหมือนหุ้นกู้ที่ไม่มีสิทธิแฝงทั่วไป เนื่องจากราคาหุ้นสามัญอยู่ในระดับที่ต่ำ จนผู้ลงทุนเลิกคาดหวังว่าตนเองจะได้กำไรจากการแปลงสภาพ 3) ราคาหุ้นสามัญลดลงรุนแรงเนื่องจากบริษัทมีความเสี่ยงที่จะล้มละลาย ราคาหุ้นกู้แปลงสภาพลดลงรุนแรงเนื่องจากความกังวลว่าบริษัทจะไม่สามารถชำระหนี้คืนได้ 5.9 ตราสารหนี้อื่นๆ 1. ตราสารหนี้ชนิดจ่ายดอกเบี้ยโดยอ้างอิงกับตัวแปร (ตราสารหนี้ชนิดจ่ายดอกเบี้ยโดยอ้างอิงกับตัวแปร จะอ้างอิงกับตัวแปรอื่นๆ ที่ไม่ใช่อัตราดอกเบี้ย ตราสารหนี้ที่จ่ายดอกเบี้ยลอยตัว จะอ้างอิงกับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง เช่น MLR, MRR) เช่น ดอกเบี้ยจ่ายอ้างอิงกับดัชนี SET, ราคาหุ้น, ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ หรือ ราคาทองคำเป็นต้น 2. พันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อ (Inflation-Linked bond) เป็นพันธบัตรที่ดอกเบี้ยปรับขึ้นลงตามอัตราเงินเฟ้อ เช่น การกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่ เงินเฟ้อ+1 => สมมติ เงินเฟ้อเท่ากับ 2% ดอกเบี้ยก็จะอยู่ที่ระดับ 2+1 = 3% จะเห็นได้ว่าผู้ลงทุนในพันธบัตรชนิดนี้จะสามารถป้องกันความเสี่ยงของเงินเฟ้อได้ เพราะถ้าเงินเฟ้อสูงขึ้นผู้ลงทุนจะได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นไปด้วย 3. หุ้นกู้ระหว่างประเทศ (International Bond) คือ หุ้นกู้ที่ผู้ออกอยู่ในประเทศหนึ่งแต่จำหน่ายในอีกประเทศหนึ่ง ซึ่งมีประเภทแยกย่อยดังนี้ 1) หุ้นกู้ต่างประเทศ (Foreign Bond) คือ หุ้นกู้ที่ใช้สกุลเงินเดียวกันกับประเทศที่ไปจำหน่าย เช่น หุ้นกู้ของบริษัทในไทยที่ขายในสหรัฐฯ ในสกุลดอลลาร์ (Yankee bond), หุ้นกู้สหรัฐฯ ที่ขายในญี่ปุ่นเป็นสกุลเยน (Samurai bond), หุ้นกู้สิงคโปร์ที่ขายในไทยเป็นสกุลเงินบาท (Baht bond) โดยชื่อเฉพาะของตราสารหนี้ชนิดนี้จะใช้สัญลักษณ์บางอย่างที่สื่อถึงประเทศที่ไปจำหน่าย เช่น Samurai ที่สื่อถึงญี่ปุ่น 2) หุ้นกู้ยูโร (Euro Bond) คือ หุ้นกู้ที่ใช้คนละสกุลเงินกับประเทศที่ไปจำหน่าย เช่น หุ้นกู้ระหว่างประเทศที่จำหน่ายในญี่ปุ่นเป็นสกุลดอลลาร์ (Eurodollar), หุ้นกู้ระหว่างประเทศที่จำหน่ายในสหรัฐฯ เป็นสกุลเยน (Euroyen) โดยชื่อเฉพาะของตราสารหนี้ชนิดนี้จะขึ้นต้นด้วย Euro และตามด้วย สกุลเงินของตราสารหนี้ 4. หุ้นกู้ในประเทศที่จำหน่ายในสกุลเงินต่างประเทศ (FX Bond) เช่น หุ้นกู้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่จำหน่ายในไทย โดยผู้ออกตราสารอาจเป็นได้ทั้งต่างประเทศหรือไทย 5. ตราสารหนี้จากการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ (Securitization) (Securitization คือ กระบวนการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ โดยหลักทรัพย์หรือตราสารหนี้ที่ได้จากกระบวนการนี้ เรียกว่า Asset-back Securities) เป็นการนำสินทรัพย์ที่สามารถสร้างกระแสเงินสดในอนาคต (เช่น ลูกหนี้) มาแปลงเป็นหลักทรัพย์และจำหน่ายให้กับผู้ลงทุน และการที่ตราสารหนี้นี้มีสินทรัพย์มารองรับ (Asset-back Securities: ABS) ทำให้ผู้ลงทุนเปรียบเสมือนเป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้น จึงได้รับผลตอบแทนจากกระแสเงินสดของสินทรัพย์ดังกล่าว เช่น การที่กิจการมีลูกหนี้อยู่จำนวน 10 ล้านบาท แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันกิจการต้องเงินสด จึงตัดสินใจแปลงลูกหนี้เป็นหลักทรัพย์ออกจำหน่ายให้ผู้ลงทุน และเมื่อเก็บเงินจากลูกหนี้ได้ (ผู้ทำหน้าที่เก็บเงินจากลูกหนี้เรียกว่า Servicer โดยผู้ทำหน้าที่นี้อาจเป็นตัวกิจการที่นำสินทรัพย์มาแปลงเป็นหลักทรัพย์เอง หรือ เป็นบุคคลอื่น) ก็จะนำมาจ่ายเป็นผลตอบแทนให้กับผู้ลงทุน โดยกระบวนการ Securitization จะมีนิติบุคคลเฉพาะกิจเข้ามาเป็นคนกลางเพื่อช่วยดูแลทรัพย์สิน และช่วยจำหน่ายตราสารหนี้ไปยังผู้ลงทุน 6. ตราสารศุกูก (Sukuk) เป็นตราสารทางการเงินตามหลักชาริอะห์ (shariah) ของอิสลาม มีลักษณะคล้ายตราสารหนี้ แต่เนื่องจากโครงสร้างตราสารหนี้ที่ผู้ลงทุนเป็นเจ้าหนี้ และการรับผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยนั้นผิดหลักชาริอะห์ ผู้ลงทุนใน Sukuk จะมีฐานะเป็นเจ้าของสินทรัพย์หรือโครงการ และรับผลตอบแทนจากกระแสเงินสดที่สินทรัพย์หรือโครงการนั้นทำได้ เช่น กระแสเงินสดจากการให้เช่าทรัพย์สิน, กระแสเงินสดจากการทำโครงการต่างๆ
1345173.txt
การซื้อขายตราสารหนี้ในไทย 5. ข้อมูลและแหล่งข้อมูลที่สำคัญของตราสารหนี้ 5.1 หนังสือชี้ชวน ข้อมูลในหนังสือชี้ชวนมีส่วนประกอบดังนี้ 1. สรุปข้อมูลสำคัญของตราสาร (fact sheet) คือ ส่วนสรุปเกี่ยวกับการเสนอขาย ลักษณะและความเสี่ยงของตราสารและของบริษัทที่ออกและเสนอขาย ซึ่งเนื้อหาส่วนนี้แต่ละบริษัทจะให้ข้อมูลและจัดรูปแบบ (format) ตามมาตรฐานเดียวกัน เช่น การจัดรูปแบบโดยใช้ตารางเพื่อให้ผู้ลงทุนหาข้อมูลสำคัญได้ง่าย 2. ข้อมูลสรุป (executive summary) เช่นเดียวกับ fact sheet เนื้อหาส่วนนี้จะเป็นการสรุปข้อมูลทั้งหมด (ข้อมูลทั้งหมด คือ ข้อมูลข้อ 3 ถึง 6 ที่กำลังจะกล่าวถึง) 3. ข้อมูลผู้ออกตราสารหนี้ 1) การประกอบธุรกิจ เช่น ลักษณะและความเสี่ยงของธุรกิจ 2) การจัดการและกำกับดูแลกิจการ เช่น โครงสร้างการจัดการ, การควบคุมภายในและการบริหารความเสี่ยง, การรับผิดชอบต่อสังคม 3) ฐานะการเงินและผลการดำเนินงาน เช่น ข้อมูลทางการเงินที่สำคัญ, การวิเคราะห์และคำอธิบายของฝ่ายจัดการ 4. ข้อมูลเกี่ยวกับการเสนอขายตราสารหนี้ เช่น ประเภทของตราสารหนี้, จำนวนที่ออก, มูลค่าที่ตราไว้, อายุตราสาร, อัตราดอกเบี้ย 5. การรับรองความถูกต้องของข้อมูล 6. เอกสารแนบ คือ เอกสารที่เป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น งบการเงิน, สัญญาแต่งตั้งผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้, รายงานเกี่ยวกับอันดับความน่าเชื่อถือ 5.2 ธนาคารแห่งประเทศไทย * ให้ข้อมูลด้านเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ * ให้ข้อมูลเกี่ยวกับตลาดการเงิน, ตลาดตราสารหนี้, การประมูลตราสารหนี้, การออกและจัดจำหน่ายตราสารหนี้ภาครัฐ * ตรวจสอบผลการประมูลตราสารหนี้ภาครัฐ 5.3 กระทรวงการคลัง * ให้ข้อมูลด้านเศรษฐกิจ, ดุลการคลัง, หนี้สาธารณะ, แผนยุทธศาสตร์กระทรวงการคลัง 5.4 สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) * ให้ข้อมูลแผนพัฒนาและสถิติด้านเศรษฐกิจและสังคม 5.5 กระทรวงพาณิชย์ * ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเศรษฐกิจการค้า เช่น ราคาสินค้า, อัตราเงินเฟ้อ, ดัชนีความเชื่อมั่น 5.6 สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ * ให้ข้อมูลเกี่ยวกับแผนการบริหารหนี้ * การประมูลตราสารหนี้รัฐวิสาหกิจ * ผลการประมูลตราสารหนี้ภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ 5.7 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย * ให้ข้อมูลเกี่ยวกับตราสารทุนและตราสารหนี้ เช่น ข้อมูลบริษัทผู้ออก, ข่าวสาร * ให้ข้อมูลเกี่ยวกับตลาดตราสารทุนและตลาดตราสารหนี้ เช่น ข้อมูลการเคลื่อนไหวของราคา, มูลค่าการซื้อขาย 5.8 ก.ล.ต. * การออกและการเสนอขายหลักทรัพย์, หนังสือชี้ชวน, งบการเงิน 5.9 สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย * ข้อมูลตลาดตราสารหนี้ทั้งตลาดแรกและตลาดรอง * ข้อมูลการซื้อขายของตลาด OTC * ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ออกตราสารหนี้ 5.10 สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (ในไทย) 1. TRIS Rating ให้ข้อมูลและบทวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้และผู้ออกตราสารหนี้ รวมถึงข้อมูลต่างๆ ที่อาจมีผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ 2. FITCH Rating (Thailand) ให้ข้อมูลและบทวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้และผู้ออกตราสารหนี้ รวมถึงข้อมูลต่างๆ ที่อาจมีผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้
1345140.txt
การประเมินมูลค่าและอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ 6. เส้นอัตราผลตอบแทน (Yield Curve) 6.1 ความหมายของเส้นอัตราผลตอบแทน (Yield Curve) คือ เส้นที่แสดงความสัมพันธ์ของอัตราผลตอบแทนถึงวันครบกำหนด (YTM) ของตราสารหนี้ กับ อายุคงเหลือของตราสารหนี้ ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (สามารถใช้เส้นอัตราผลตอบแทน (Yield Curve) ของหุ้นกู้ได้เช่นกัน แต่เส้นดังกล่าวจะมีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้รวมอยู่ด้วย) ซึ่งถือว่าไม่มีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ ดังนั้นเส้นอัตราผลตอบแทน (Yield Curve) ที่เกิดจากพันธบัตรจะเป็นเส้นอัตราผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้เช่นกัน 6.2 รูปแบบของเส้นอัตราผลตอบแทน (Yield Curve) มี 4 ประเภท ดังนี้ 1. เส้นอัตราผลตอบแทนแบบปกติ (Normal Yield Curve) * เป็นลักษณะปกติ ที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุด * เส้นค่อยๆ ชันขึ้น (ความชันเป็นบวก) * ผู้ลงทุนต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้น ชดเชยกับระยะเวลาลงทุนที่ยาวขึ้น 2. เส้นอัตราผลตอบแทนแบบลาดลง (Inverted Yield Curve) * เส้นค่อยๆ ลาดลง (ความชันเป็นลบ) * ผู้ลงทุนคาดว่าอนาคตอัตราผลตอบแทนจะลดลง จึงแย่งกันซื้อพันธบัตรที่มีอายุยาวเพื่อล็อคผลตอบแทนที่สูงๆไว้ ซึ่งการแย่งกันซื้อส่งผลราคาของพันธบัตรอายุยาวเพิ่มขึ้นและอัตราผลตอบแทนของลดลง 3. เส้นอัตราผลตอบแทนแบบราบ (Flat Yield Curve) * เส้นแบบราบ (อัตราผลตอบแทนเท่ากันทุกช่วงอายุ) * อาจเป็นช่วงที่ทิศทางของดอกเบี้ยไม่แน่นอนหรือเป็นช่วงที่กำลังเข้าสู่ Inverted Yield Curve 4. เส้นอัตราผลตอบแทนแบบหลังเขา (Humped Yield Curve) * ช่วงแรกผลอตอบแทนเพิ่มขึ้นตามอายุและช่วงหลังกลับลดลง * อาจเกิดจากการขาดแคลนตราสารอายุยาว หรือ ความต้องการตราสารอายุยาวที่เพิ่มขึ้น 6.3 ประโยชน์ของเส้นอัตราผลตอบแทน 1. ใช้เปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนกับอายุของตราสารหนี้ 2. ใช้เป็นอัตราอ้างอิงในการออกตราสารหนี้ ในการออกตราสารหนี้ ผู้ออกต้องคิดว่าควรกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่เท่าไร ซึ่งผู้ออกสามารถใช้ Yield Curve ของพันธบัตรมาเป็นอัตราอ้างอิง เช่น จาก Yield Curve ของพันธบัตร พบว่า พันธบัตรอายุ 5 ปี ให้อัตราผลตอบแทนที่ 3.86% ผู้ออกตราสารซึ่งเป็นบริษัทเอกชนพบว่าบริษัทตนเองมีความเสี่ยงมากกว่าพันธบัตรเล็กน้อย จึงกำหนดอัตราผลตอบแทนของตราสารอายุ 5 ปี ที่ตนเองกำลังออกไว้ที่ 4.00% 3. ใช้เทียบเคียงราคาตลาดของตราสารหนี้ (Mark to Market) สำหรับตราสารหนี้ที่มีสภาพคล่องน้อยในบางวันอาจไม่มีการซื้อขาย การเทียบเคียงราคาตลาดจึงอาจนำอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ที่มีลักษณะคล้ายกันบนเส้น Yield Curve มาคำนวณหาราคาตลาด 4. ใช้ในการวางกลยุทธ์และการตัดสินใจลงทุน
1345147.txt
ตราสารที่เชื่อมโยงกับตราสารทุน 1. ความหมายและประเภทของตราสารที่เชื่อมโยงกับตราสารทุน (Equity-Linked Product) 1.1 ความหมายของ Equity-Linked Product (Equity-Linked Product แปลตามตรงว่า ผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมโยงกับตราสารทุน) Equity-Linked Product ถือเป็นตราสารอนุพันธ์ (Derivative) ประเภทหนึ่ง ที่มีลักษณะเป็นสัญญาที่ให้สิทธิในการซื้อหรือขายตราสารทุนที่อ้างอิง (Underlying Equity) ในระยะเวลาที่กำหนด ดังนั้นผลตอบแทนและมูลค่าของ Equity-Linked Product จึงขึ้นลงตามมูลค่าของตราสารทุนที่อ้างอิง 1.2 ประเภทของ Equity-Linked Product ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ 1. ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (Derivative Warrant: DW) 2. ใบสำคัญแสดงสิทธิ (Warrant) 3. ใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่โอนสิทธิได้ (Transferable Subscription Right :TSR) 4. ใบสำคัญแสดงสิทธิในประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทย (Non-Voting Depository Receipt: NVDR) 5. ใบสำคัญแสดงสิทธิในประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิง (Depository Receipts: DR)
1345175.txt
การซื้อขายตราสารหนี้ในไทย 4. ดัชนีตราสารหนี้ (Bond Index) 4.1 ความหมายและประโยชน์ของดัชนีตราสารหนี้ 1. ดัชนีตราสารหนี้ คือ เครื่องมือที่ใช้วัดการเคลื่อนไหวของกลุ่มตราสารหนี้ภายใต้ดัชนี 2. ประโยชน์ของดัชนีตราสารหนี้ * ใช้ติดตามการเคลื่อนไหวของกลุ่มตราสารหนี้ * ใช้เป็นเกณฑ์ในการวัดผลการดำเนินงาน เช่น กองทุนสามารถทำผลตอบแทนได้ดีกว่าดัชนีหรือไม่ * ใช้เปรียบเทียบกับการเคลื่อนไหวของดัชนีหลักทรัพย์อื่นๆ เช่น เทียบกับ SET index * ใช้รองรับผลิตภัณฑ์การเงินใหม่ๆ เช่น bond index futures, bond index option (เป็นตราสารอนุพันธ์ประเภทหนึ่ง ที่มูลค่าของตราสารจะอ้างอิงกับดัชนีตราสารหนี้) 4.2 ประเภทของดัชนีตราสารหนี้ สามารถใช้เกณฑ์ในการแบ่งได้ 3 เกณฑ์ ดังนี้ 1. แบ่งตามการนำไปใช้ * Board-based bond index เป็นดัชนีที่วัดการเคลื่อนไหวโดยรวมของตลาดตราสารหนี้ คำนวณจากตราสารหนี้ทั้งหมดที่มีนัยยะต่อการเคลื่อนไหวของตลาดตราสารหนี้ (อาจยกเว้นตราสารหนี้ที่มีสิทธิแฝง option-embedded bond, ตราสารหนี้ขนาดเล็กที่มีมูลค่าน้อย) * Specialized bond index เป็นดัชนีที่วัดการเคลื่อนไหวโดยรวมของตราสารหนี้เฉพาะกลุ่ม (จัดกลุ่มตามลักษณะเฉพาะของตราสารหนี้) เช่น ดัชนีกลุ่มพันธบัตรที่มีสภาพคล่องสูงสุด 20 อันดับ * Customized bond index เป็นดัชนีที่สร้างขึ้นเพื่อใช้กับการลงทุนใดการลงทุนหนึ่งโดยเฉพาะ (จัดตามลักษณะการลงทุน) อาจเกิดจากการผสมดัชนีตราสารหนี้หลายๆ ดัชนี เช่น ดัชนีพันธบัตรรัฐบาล 60% และดัชนีหุ้นกู้ระดับลงทุน 40% 2. แบ่งตามวิธีคำนวณ * Clean price index เป็นดัชนีที่ใช้ Clean price (ราคาตราสารหนี้ไม่รวมดอกเบี้ยค้างรับ) มาคำนวณ * Gross price index เป็นดัชนีที่ใช้ Gross price (ราคาตราสารหนี้รวมดอกเบี้ยค้างรับ) มาคำนวณ * Total return index เป็นดัชนีที่ใช้ผลตอบแทนรวมของตราสารหนี้มาคำนวณ โดยในการคำนวณดัชนี จะมีสมมติฐานว่าผู้ลงทุนจะนำดอกเบี้ยที่ได้รับกลับมาลงทุนในตราสารหนี้เดิม 3. อื่นๆ * All-bond index เป็นดัชนีที่วัดการเคลื่อนไหวโดยของตลาดตราสารหนี้ทั้งหมด คำนวณจากตราสารหนี้ทั้งหมด (อาจยกเว้นตราสารหนี้ที่มีสิทธิแฝง option-embedded bond) * Tracker bond index เป็นดัชนีตราสารหนี้ที่มีเกณฑ์ในการคัดเลือกตราสารหนี้เข้ามาในดัชนี เช่น ใช้เกณฑ์มูลค่า, สภาพคล่อง, อันดับความน่าเชื่อถือ * Bellwether index เป็นดัชนีตราสารหนี้ที่มีสภาพคล่องสูง 4.3 ดัชนีตราสารหนี้ที่จัดทำโดย ThaiBMA 1. ดัชนีตราสารหนี้ไทย (Composite bond index) ดัชนีที่วัดความเคลื่อนไหวโดยรวมของตราสารหนี้ไทย ที่คำนวณจากดัชนีพันธบัตรรัฐบาล, พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ, ดัชนีหุ้นกู้ระดับลงทุน 2. ดัชนีพันธบัตรรัฐบาล (ThaiBMA government bond index) ดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของพันธบัตร ซึ่งแบ่งเป็นกลุ่มได้ดังนี้ 1) ดัชนีพันธบัตรรัฐบาล 2) ดัชนีพันธบัตรกลุ่มที่อายุคงเหลือ 1 – 3 ปี 3) ดัชนีพันธบัตรกลุ่มที่อายุคงเหลือ 3 – 7 ปี 4) ดัชนีพันธบัตรกลุ่มที่อายุคงเหลือ 7 – 10 ปี 5) ดัชนีพันธบัตรกลุ่มที่อายุคงเหลือ >10 ปี 6) ดัชนีพันธบัตรกลุ่มที่อายุคงเหลือ ≤10 ปี 3. ดัชนี Zero rate index (ZRR index) เป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของตราสารหนี้ที่ไม่มีดอกเบี้ย (Zero Coupon Bond) ที่ออกโดยภาครัฐที่มีอายุเฉลี่ยคงที่ ซึ่งดัชนีประเภทนี้เหมาะกับการใช้เปรียบเทียบผลการดำเนินงานของพอร์ตการลงทุนในตราสารหนี้ที่ตั้งใจว่าจะให้อายุเฉลี่ยของตราสารคงที่ เช่น ZRR 3 ปี จะคำนวณจาก Zero Coupon Bond อายุคงเหลือเฉลี่ย 3 ปี เท่านั้น (ไม่ใช้ช่วงของอายุอย่างดัชนีพันธบัตร) เหมาะกับการเปรียบเทียบกับพอร์ตการลงทุนที่กำหนดอายุเฉลี่ยของพอร์ตตราสารหนี้ไว้คงที่ที่ 3 ปี 4. ดัชนีพันธบัตรรัฐวิสาหกิจ (State owned enterprise index) ดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของพันธบัตรรัฐวิสาหกิจ ซึ่งแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ 1) ดัชนีพันธบัตรรัฐวิสาหกิจที่ค้ำประกันโดยกระทรวงการคลัง 2) ดัชนีพันธบัตรรัฐวิสาหกิจที่ไม่ค้ำประกัน โดยในแต่ละกลุ่มใหญ่จะแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยตามอายุคงเหลือในลักษณะเดียวกับดัชนีพันธบัตรรัฐบาล 5. ดัชนีหุ้นกู้ระดับลงทุน (Investment grade corporate bond index) ดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของหุ้นกู้ระดับลงทุน ซึ่งแบ่งได้ดังนี้ ดัชนีหุ้นกู้ระดับ BBB ขึ้นไป 1. ดัชนีหุ้นกู้ระดับ BBB ขึ้นไป 2. ดัชนีหุ้นกู้ระดับ BBB ขึ้นไป กลุ่มอายุ 1-3 ปี 3. ดัชนีหุ้นกู้ระดับ BBB ขึ้นไป กลุ่มอายุ 3-7 ปี 4. ดัชนีหุ้นกู้ระดับ BBB ขึ้นไป กลุ่มอายุ 7-10 ปี ดัชนีหุ้นกู้ระดับ BBB+ ขึ้นไป 1. ดัชนีหุ้นกู้ระดับ BBB+ ขึ้นไป 2. ดัชนีหุ้นกู้ระดับ BBB+ ขึ้นไป กลุ่มอายุ 1-3 ปี 3. ดัชนีหุ้นกู้ระดับ BBB+ ขึ้นไป กลุ่มอายุ 3-7 ปี 4. ดัชนีหุ้นกู้ระดับ BBB+ ขึ้นไป กลุ่มอายุ 7-10 ปี 6. ดัชนีตราสารหนี้ภาครัฐระยะสั้น (Short-term government bond index) ดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของตราสารหนี้ภาครัฐระยะสั้น 7. ดัชนีตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะสั้น (Commercial paper index) ดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะสั้น (อายุไม่เกิน 270 วัน) ซึ่งประกอบด้วย 3 กลุ่ม 1) ดัชนีตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะสั้นระดับ AA- ขึ้นไป 2) ดัชนีตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะสั้นระดับ A- ขึ้นไป 3) ดัชนีตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะสั้นระดับ BBB- ขึ้นไป
1345139.txt
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 6. แผนสำรองกรณีระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ขัดข้อง ตลาดหลักทรัพย์สามารถสั่งหยุดการซื้อขายชั่วคราวได้ ตามมาตรา 187 ของพรบ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ 6.1 การหยุดทำการซื้อขายชั่วคราว กรณีระบบซื้อขายของตลาดฯ ขัดข้อง เงื่อนไข สมาชิก (บล.) >1 ใน 3 ของสมาชิกทั้งหมด ไม่สามารถส่งคำสั่งซื้อขายเข้าระบบของตลาดหลักทรัพย์ได้ และเวลาที่ขัดข้อง >15 นาที และสาเหตุการขัดข้องอยู่ในความรับผิดชอบของตลาดฯ รวมถึงระบบสื่อสาร ไฟฟ้า ของทางการที่กระทบต่อตลาด * เงื่อนไขต้องครบทั้ง 3 ข้อ กรณีระบบซื้อขายของสมาชิก (บล.) ขัดข้อง เงื่อนไข สมาชิก (บล.) >1 ใน 3 ของสมาชิกทั้งหมด ไม่สามารถส่งคำสั่งซื้อขายเข้าระบบของตลาดหลักทรัพย์ได้ รวมถึงไม่สามารถใช้ระบบสำรองของตลาดฯ และเวลาที่ขัดข้อง >15 นาที และสาเหตุการขัดข้องอยู่ในความรับผิดชอบของสมาชิก รวมถึงระบบสื่อสาร ไฟฟ้า ของทางการที่กระทบต่อสมาชิก * เงื่อนไขต้องครบทั้ง 3 ข้อ กรณีมีวิกฤตร้ายแรง เงื่อนไข 1. เกิดเหตุร้ายแรงที่กระทบวงกว้าง เช่น การจลาจล, การก่อการร้าย, ภัยธรรมชาติ 2. เหตุวิกฤตที่มีผลต่อสมาชิกเหตุใดเหตุหนึ่ง ดังนี้ สมาชิก (บล.) >1 ใน 3 ของสมาชิกทั้งหมด ไม่สามารถส่งคำสั่งซื้อขายเข้าระบบของตลาดหลักทรัพย์ได้ รวมถึงไม่สามารถใช้ระบบสำรองของตลาดฯ หรือสมาชิก (บล.) >1 ใน 2 ของสมาชิกทั้งหมด ไม่สามารถส่งคำสั่งซื้อขายเข้าระบบของตลาดหลักทรัพย์ได้ * เงื่อนไขต้องครบทั้ง 2 ข้อ คือ 1) และ เหตุใดเหตุหนึ่งในข้อ 2) 6.2 วิธีการประกาศหยุดการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ ตลาดฯ จะแจ้งการหยุดการซื้อขายรวมถึงกำหนดเวลาเปิดการซื้อขายใหม่ให้สมาชิกทราบ ผ่านช่องทางการสื่อสารต่างๆ ของตลาดหลักทรัพย์ เช่น ผ่านระบบการซื้อขาย, โทรศัพท์, ระบบการเผยแพร่ข้อมูล 6.3 วิธีการเปิดการซื้อขายหลังหยุดการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ จะพิจารณาตามเวลาซื้อขายที่เหลือ หรือตามความเหมาะสม 6.4 ระบบสำรองของตลาดหลักทรัพย์ สมาชิกสามารถขอใช้ระบบสำรองของตลาดฯ ได้ ในกรณีที่ระบบการซื้อขายของสมาชิกขัดข้อง
1345186.txt
ตราสารที่เชื่อมโยงกับตราสารทุน 5. ใบสำคัญแสดงสิทธิในประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทย (Non-Voting Depository Receipt: NVDR) 5.1 ความหมายของ NVRD เนื่องจากไทยมีกำหนดเพดานสัดส่วนการต่างให้ชาติถือครองหุ้น เพื่อไม่ให้ต่างชาติมีอำนาจควบคุมบางอุตสาหกรรม เช่น ธนาคาร, ธุรกิจประกัน, ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับที่ดิน ดังนั้นจึงมีการออก NVDR ซึ่งเป็นใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทย เพื่อให้ชาวต่างชาติสามารถเข้ามาลงทุนในหุ้นโดยไม่มีกำหนดเพดานสัดส่วนการถือครอง โดยผู้ถือ NVDR จะไม่มีสิทธิออกเสียงในที่ประชุม (Voting Rights) ทำให้ไม่มีอำนาจควบคุมธุรกิจ แต่จะยังมีสิทธิอื่นๆ เช่น การรับปันผล, การซื้อหุ้นเพิ่มทุน ทั้งนี้ราคาซื้อขาย NVDR เป็นราคาเดียวกับหุ้นที่ให้ผู้ลงทุนทั่วไปในประเทศลงทุน และ NVRD ที่ถือครอง สามารถเปลี่ยนเป็นหุ้นได้ นอกจากนี้ ผู้ลงทุนใน NVDR จะเป็นผู้ลงทุนชาวไทยหรือต่างชาติก็ได้ 5.2 คุณสมบัติของ NVRD 1. ต้องอ้างอิงกับหลักทรัพย์ประเภทใดประเภทหนึ่ง ดังนี้ 1) หุ้นสามัญ 2) หุ้นบุริมสิทธิ 3) ตราสารหนี้ (พันธบัตร, หุ้นกู้) 4) Warrant 5) TSR 2. อัตราการใช้สิทธิต้องเป็น 1 : 1 (NVRD : สินทรัพย์อ้างอิง) เสมอ 3. กรณีอ้างอิงกับหลักทรัพย์ที่มีอายุ NVDR ต้องมีการกำหนดอายุ 4. ผู้ถือ NVDR มีสิทธิเหมือนการถือหลักทรัพย์อ้างอิง ยกเว้นสิทธิ Vote 5.3 ประโยชน์ของ NVDR 1. เป็นช่องทางการลงทุนของต่างชาติ (ทั้งนักลงทุนบุคคล และสถาบัน) โดยไม่ติด Foreign Limit 2. เพิ่มสภาพคล่องหลักทรัพย์ 5.4 ผลตอบแทนและความเสี่ยงของ NVDR NVDR จะเป็นเสมือนตัวแทนของหลักทรัพย์อ้างอิง โดยมีผลตอบแทนและความเสี่ยงเหมือนหลักทรัพย์อ้างอิง 5.5 สิทธิประโยชน์ของผู้ถือ NVDR 1. นักลงทุนต่างชาติสามารถลงทุนได้โดยไม่ติด Foreign Limit แต่กรณีลงทุนในสถาบันการเงิน ต่างชาติจะถือหุ้นและ NVDR รวมกันได้ไม่เกิน 10% 2. ผู้ถือ NVDR มีสิทธิเหมือนการถือหลักทรัพย์อ้างอิง ยกเว้นสิทธิ Vote 3. สามารถเปลี่ยน NVDR เป็นหลักทรัพย์อ้างอิง 4. สิทธิประโยชน์ทางภาษี ผู้ลงทุนประเภทบุคคคลธรรมดา และนิติบุคคลจะได้รับสิทธิประโยชน์ที่แตกต่างกันดังนี้ สิทธิประโยชน์ทางภาษีของผู้ถือ NVDR ผู้ลงทุนที่เป็นบุคคลธรรมดา - อยู่ในไทย ≥180 ในปีภาษี ยกเว้นภาษี เงินได้จากปันผล เลือกได้ระหว่าง หัก ณ ที่จ่าย 10% กับนำปันผลไปรวมคำนวณภาษี - อยู่ในไทย <180 ในปีภาษี ยกเว้นภาษี เงินได้จากปันผล หัก ณ ที่จ่าย 10% ผู้ลงทุนที่เป็นนิติบุคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ - ที่ประกอบกิจการในไทย รวมเป็นเงินได้ของกิจการ เงินได้จากปันผล รวมเป็นเงินได้ของกิจการ - ที่ประกอบกิจการในต่างประเทศ เสียภาษี 15% เงินได้จากปันผล หัก ณ ที่จ่าย 10% 5.6 การรายงานการถือครอง NVDR ต่อบริษัทไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด สำหรับ NVDR ที่อ้างอิงกับหุ้นสามัญ ต้องมีการรายงานการถือครอง ดังนี้ 1. ต้องรายงานเมื่อได้มาหรือขายไปจนทำให้สัดส่วนการถือครอง NVDR รวมกับหุ้นแตะระดับ 5% 2. เมื่อการถือครอง ≥25% บริษัทไทยวีดอาร์ จำกัด มีสิทธิบังคับซื้อคืนสำหรับสัดส่วนที่เกิน 25%
1345179.txt
การประเมินมูลค่าและอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ 4. ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราผลตอบแทนกับราคาตราสารหนี้ 4.1 ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราผลตอบแทนถึงวันครบกำหนด (YTM) กับ ราคาตราสารหนี้ทั่วไป มีความสัมพันธ์แบบผกผัน กล่าวคือ เมื่อ YTM เพิ่มขึ้น ราคาตราสารหนี้จะลดลง 4.2 ความสัมพันธ์ระหว่าง YTM กับ ราคาตราสารหนี้ประเภท Callable Bond มีความสัมพันธ์แบบผกผัน เช่นเดียวกับ YTM แต่มีจุดต่างคือ ราคาของตราสารหนี้จะเพิ่มขึ้นไม่เกินราคาไถ่ถอนคืน (Call Price) เพราะหาก YTM ลดลงอย่างมากจนราคาควรจะสูงกว่า Call Price ผู้ออกตราสารจะสามารถใช้สิทธิไถ่ถอนตราสารหนี้คืนที่ราคา Call Price 4.3 ความสัมพันธ์ระหว่าง YTM กับ ราคาตราสารหนี้ประเภท Puttable Bond มีความสัมพันธ์แบบผกผัน เช่นเดียวกับ YTM แต่มีจุดต่างคือ ราคาของตราสารหนี้จะลดลงไม่เกินราคาเรียกคืนเงินกู้ก่อนครบกำหนด (Put Price) เพราะหาก YTM เพิ่มขึ้นจนราคาควรจะต่ำกว่า Put Price ผู้ลงทุนจะสามารถใช้สิทธิขายตราสารหนี้คืนที่ราคา Put Price
1345145.txt
ตราสารที่เชื่อมโยงกับตราสารทุน 6. ใบสำคัญแสดงสิทธิในประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิง (Depository Receipts: DR) 6.1 ความหมายของ DR คือ หลักทรัพย์ที่เป็นตัวแทนของสินทรัพย์อ้างอิง (เช่น หุ้น, ตราสารหนี้) (ส่วนใหญ่สินทรัพย์อ้างอิง คือ หุ้น) ของต่างประเทศ แต่ซื้อขายบนตลาดหลักทรัพย์ในประเทศ โดยผู้ออก DR คือ ธนาคารพาณิชย์ หรือ บริษัทหลักทรัพย์ ตัวอย่าง DR ที่เป็นที่รู้จัก คือ American Depository Receipts (ADR) เช่น ADR Toyota ที่เป็นตัวแทนหุ้น Toyota ของญี่ปุ่น แต่ ADR นี้ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ New York (สหรัฐอเมริกา) 6.2 ประเภทของ DR 1. Sponsored DR คือ DR ที่มีบริษัทที่เป็นเจ้าของสินทรัพย์อ้างอิงสนับสนุน โดยเจ้าของอาจมีความต้องการที่จะเป็นที่รู้จักในต่างประเทศ หรือ ต้องการระดมทุนจากต่างประเทศ 2. Unsponsored DR คือ DR ที่ไม่มีบริษัทที่เป็นเจ้าของสินทรัพย์อ้างอิงสนับสนุน 6.3 ประโยชน์ของ DR ประโยชน์ต่อผู้ออก DR * เป็นช่องทางระดมทุน * ทำให้บริษัทเป็นที่รู้จักของต่างชาติ ซึ่งช่วยในการขยายตลาดไปต่างประเทศ ประโยชน์ต่อผู้ลงทุน DR * เป็นช่องทางลงทุนในต่างประเทศ * ต้นทุนต่ำกว่าการลงทุนตรงในต่างประเทศ, การลงทุนในต่างประเทศผ่านกองทุนรวม หรือ ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ในประเทศ * มีความสะดวกกว่าการไปลงทุนตรงในต่างประเทศ 6.4 ผลตอบแทนและความเสี่ยง 1. ผลตอบแทน ได้รับเหมือนสินทรัพย์อ้างอิง 2. ความเสี่ยง * เหมือนสินทรัพย์อ้างอิง เช่น ความเสี่ยงจากการดำเนินงาน ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ การเมือง * การเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจาก DR ไม่มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน โดย DR ควรเท่ากับราคาของสินทรัพย์อ้างอิง (แม้จะคนละสกุลเงิน แต่ถ้าแปลงเป็นสกุลเงินเดียวกันราคาควรเท่ากัน) * Price Premium คือ ความเสี่ยงจากการที่ราคา DR แพงกว่าราคาสินทรัพย์อ้างอิงในต่างประเทศ ซึ่งสาเหตุมักมาจากข้อการจำกัดจำนวนการถือหุ้นสูงสุดของชาวต่างชาติในสินทรัพย์อ้างอิง เช่น ผลของการมี Foreign Limit ของไทยนั่นเอง * การเข้าถึงข้อมูลที่อาจเสียเปรียบผู้ลงทุนที่อยู่ในประเทศเดียวกับบริษัทที่เป็นเจ้าของสินทรัพย์อ้างอิง (เช่น ผู้ลงทุนสหรัฐฯ ที่ซื้อ ADR Toyota อาจเข้าถึงข้อมูลได้ยากกว่าผู้ลงทุนชาวญี่ปุ่น) 6.5 สิทธิประโยชน์ของการลงทุนใน DR สิทธิที่เป็นเงินสด เช่น เงินปันผล สิทธิของผู้ถือ DR ได้รับสิทธิ สิทธิที่ไม่เป็นเงินสด เช่น หุ้นปันผล, สิทธิการซื้อหุ้นเพิ่มทุน สิทธิของผู้ถือ DR ได้ หรือ ไม่ได้ ขึ้นกับข้อกำหนดของ DR
1345180.txt
ประเภทของธุรกิจและที่มาของเงินทุนในการทำธุรกิจ 6. Corporate Action และ ผลกระทบต่อราคาหุ้นสามัญ Corporate Action คือ การกระทำขององค์กรที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญต่อบริษัทและมีผลกระทบต่อผู้ถือหุ้น ซึ่งการกระทำต่างๆ รวมถึงผลกระทบต่อราคาหุ้นมีรายละเอียดดังนี้ 6.1 การเพิ่มทุน (Capital Increase) คือ การระดมทุนของบริษัทโดยการออกหุ้นใหม่ (เรียกหุ้นใหม่นี้ว่าหุ้นเพิ่มทุน) และนำหุ้นเพิ่มทุนนี้ออกขายให้กับผู้ลงทุน โดยผู้ซื้อหุ้นเพิ่มทุนจะมีฐานะเป็นเจ้าของกิจการ ทั้งนี้รายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มทุนมี ดังนี้ 1. วัตถุประสงค์การเพิ่มทุน * เพื่อนำเงินที่ได้ไปขยายกิจการ * เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการทำธุรกิจ * เพื่อปรับโครงสร้างทางการเงิน โดยการนำเงินไปชำระหนี้ 2. วิธีการเพิ่มทุน สามารถแบ่งได้ตามกลุ่มผู้ลงทุนที่บริษัทเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน ดังนี้ * เสนอขายให้ประชาชนทั่วไป (Public offering: PO) วิธีนี้บริษัทจะสามารถระดมทุนได้จำนวนมาก แต่มีค่าใช้จ่ายและขั้นตอนสูง เนื่องจาก ก.ล.ต. กำหนดให้ต้องจัดทำหนังสือชี้ชวน เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจให้ผู้ลงทุน * เสนอขายผู้ลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง (Private Placement: PP) วิธีนี้จะระดมทุนได้เร็ว เพราะมีขั้นตอนและค่าใช้จ่ายในการเสนอขายน้อยกว่าแบบ PO เนื่องจากเสนอขายให้บุคคลในวงจำกัด * เสนอขายให้ผู้ถือหุ้นเดิม (Right offering: RO) ถือเป็นการให้สิทธิกับผู้ถือหุ้นเดิม ในการซื้อหุ้นเพิ่มทุน * เสนอขายให้กรรมการหรือพนักงานบริษัท (Employee stock option program: ESOP) เพื่อให้กรรมการหรือพนักงานมีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของกิจการ มีผลให้เกิดแรงจูงใจในการทำเพื่อกิจการมากขึ้น 3. การเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแบบ General mandate คือ การขออนุมัติการเพิ่มทุนจากผู้ถือหุ้นล่วงหน้า ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้การเพิ่มทุนสามารถทำได้รวดเร็วขึ้น 4. ผลกระทบต่อราคาหุ้น มักทำให้ราคาหุ้นลดลง เนื่องจากจำนวนหุ้นที่มากขึ้นทำให้เมื่อมีกำไรบริษัทต้องแบ่งให้กับผู้ลงทุนหลายคนขึ้น (แบ่งตามจำนวนที่ถือหุ้น) ซึ่งหากบริษัททำกำไรได้เท่าเดิมจะทำให้กำไรต่อหุ้นลดลง (Dilution effect) นอกจากนี้จำนวนหุ้นที่มากขึ้นอาจทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของผู้ลงทุนเปลี่ยนแปลงส่งผลต่ออำนาจการควบคุมกิจการ 6.2 การเพิ่มทุนจากใบสำคัญแสดงสิทธิ (Warrant) คือ การเพิ่มทุนผ่านสัญญาที่ให้สิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนในอนาคต 1. วัตถุประสงค์ของการเพิ่มทุนจากใบสำคัญแสดงสิทธิ (Warrant) * เพื่อให้ได้เงินเพิ่มทุนสอดคล้องกับแผนการใช้เงินในอนาคต เช่น ตั้งใจจะขยายกิจการในอีก 2 ปี ข้างหน้า จึงออก Warrant ที่ให้สิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนในอีก 2 ปี * เพื่อจูงใจกรรมการหรือพนักงานโดยการออก Warrant ให้ 2. ผลกระทบต่อราคาหุ้นสามัญ เมื่อมีการใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุน จะทำให้จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นและมีผลกระทบต่อราคาหุ้นเช่นเดียวกับการเพิ่มทุน (Capital Increase) 6.3 การเพิ่มทุนจากใบสำคัญแสดงสิทธิที่โอนสิทธิได้ (Transferable subscription right : TSR) TSR มีลักษณะคล้ายกับการเพิ่มทุนแบบเสนอขายให้ผู้ถือหุ้นเดิม (Right offering: RO) ผสมกับ Warrant ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ * TSR มีลักษณะคล้าย Warrant แต่มักจะมีอายุสั้นกว่า กล่าวคือ มีอายุ (อายุ ในที่นี้ระยะเวลาในการให้สิทธิ เช่น อายุ 2 เดือน หมายถึง สิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนในอีก 2 เดือน) ไม่เกิน 2 เดือน ต่างจาก Warrant ที่มักมีอายุ 3-5 ปี * คล้าย RO ที่เสนอขายให้ผู้ถือหุ้นเดิมเช่นกัน แต่ดีกว่า RO ที่หากผู้ลงทุนไม่ต้องการเพิ่มทุน ผู้ลงทุนสามารถขายสิทธิในการเพิ่มทุนนี้ให้กับผู้ลงทุนรายอื่นได้โดยขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ * บริษัทสามารถเพิ่มทุนได้ตามที่ต้องการ แม้จะมีการขายสิทธิให้กับผู้ลงทุนรายอื่นก็ตาม 1. ลักษณะของ TSR * โดยทั่วไปมีอายุไม่เกิน 2 เดือน * ต้องมีระยะเวลาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ≥7 วัน * มีระยะเวลาให้ผู้ถือ TSR แสดงความจำนงในการซื้อหุ้นเพิ่มทุน ≥15 วัน * ไม่ต้องขออนุญาต ก.ล.ต. เพื่อออก TSR 2. ผลตอบแทนและความเสี่ยงของ TSR 1) ผลตอบแทน * กำไรจากการซื้อขาย * สิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุน 2) ความเสี่ยง * ความผันของราคา TSR * อายุที่สั้น (เมื่อหมดอายุมูลค่า TSR จะเป็นศูนย์) 3. ผลกระทบต่อราคาหุ้น มีลักษณะเช่นเดียวกับ Warrant และการเพิ่มทุน 6.4 โครงการสะสมหุ้นของพนักงาน (Employee joint investment program : EJIP) คือ โครงการที่ให้สิทธิพนักงานลงทุนในหุ้นของบริษัทตนเองซึ่งบริษัทจะลงทุนเพิ่มให้อีกส่วนหนึ่ง โดยต้องลงทุนเป็นรายงวดอย่างสม่ำเสมอ (Dollar Cost Average) ทั้งนี้การเข้าร่วมโครงการจะขึ้นอยู่กับความสมัครใจของพนักงาน 1. ประโยชน์ของโครงการ * เป็นการจูงใจให้พนักงานเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เนื่องจากพนักงานมีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของกิจการ * หากผู้บริหารเข้าโครงการ ผู้บริหารไม่ต้องรายงานการซื้อหุ้นของบริษัท (แบบ 59-2) กับ ก.ล.ต. * ถือเป็นการให้ผลตอบแทนกับพนักงานรูปแบบหนึ่ง เนื่องจากบริษัทจะสมทบเงินลงทุนให้ด้วย 2. ผลกระทบต่อราคาหุ้น ไม่มีผลกระทบเชิง Dilution effect แต่อาจมีผลบวกเชิงจิตวิทยา เนื่องจากปริมาณการซื้อหุ้นของบริษัทจะมากขึ้นจากการซื้อของพนักงานและเงินสมทบของบริษัท 6.5 การลดทุนจดทะเบียนชำระแล้ว (Decrease in paid-up capital) คือ การลดเงินทุนของเจ้าของกิจการ ซึ่งอาจสาเหตุมาจากการระดมเงินทุนมาจากผู้ถือหุ้นมามากเกินไปจึงขอลดทุนเพื่อนำเงินมาคืนให้ผู้ถือหุ้น แต่สาเหตุส่วนใหญ่จะเป็นการลดทุนเพื่อล้างขาดทุนสะสมเพื่อให้บริษัทสามารถจ่ายเงินปันผลได้ (บริษัทจะจ่ายปันผลได้ต่อเมื่อไม่มีขาดทุนสะสมเท่านั้น) โดยที่ทั้งขาดทุนสะสมและทุนจดทะเบียนอยู่ในส่วนของเจ้าของในงบดุล 1. วิธีการลดทุนจดทะเบียน สามารถทำได้ 2 วิธี คือ * การลดมูลค่าที่ตราไว้ (Par Value Reduction) เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากกว่าเนื่องจากไม่กระทบต่อจำนวนหุ้นของผู้ถือหุ้น * การลดจำนวนหุ้น 2. ผลกระทบต่อราคาหุ้น * กรณีใช้วิธีลดมูลค่าที่ตราไว้เพื่อนำเงินไปล้างขาดทุนสะสม จะเกิดการเปลี่ยนแปลง คือ ทุนจดเบียนลดลงเนื่องจากมูลค่าที่ตราไว้ลดลง และขาดทุนสะสมลดลง ขณะที่ส่วนของเจ้าของในงบดุลของเท่าเดิม โดยพื้นฐานของกิจการยังคงเหมือนเดิม ส่งผลให้มูลค่ากิจการ, มูลค่าหุ้นที่ผู้ลงทุนถือ (มูลค่าหุ้นที่ผู้ลงทุนถือ = ราคาหุ้น X จำนวนหุ้นที่ถือ) และราคาหุ้นเท่าเดิม * กรณีใช้วิธีจำนวนหุ้นเพื่อนำเงินไปล้างขาดทุนสะสม เกิดการเปลี่ยนแปลงทุนบัญชีคล้ายกับวิธีลดมูลค่าที่ตราไว้ กล่าวคือ ทุนจดเบียนลดลงเนื่องจากจำนวนหุ้นลดลง และขาดทุนสะสมลดลง ขณะที่ส่วนของเจ้าของในงบดุลของเท่าเดิม โดยพื้นฐานของกิจการยังคงเหมือนเดิม ส่งผลให้มูลค่ากิจการและมูลค่าหุ้นที่ผู้ลงทุนถือเท่าเดิม แต่ราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้นและจำนวนหุ้นลดลง * โดยสรุปแล้วการลดทุนจะไม่กระทบกับมูลค่าหุ้นที่ผู้ลงทุนถือ แต่การลดทุนอาจมีผลเชิงจิตวิทยาให้ความต้องการซื้อหุ้นเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นสัญญาณว่าบริษัทอาจกลับมาจ่ายปันผลได้ในอนาคต ส่วนของเจ้าของเท่าเดิม เนื่องจากทั้งขาดทุนสะสมและทุนจดทะเบียนอยู่ในส่วนของเจ้าของในงบดุล เช่น ก่อนลดทุน - ทุนจดทะเบียน 300 - ขาดทุนสะสม -50 - ส่วนของเจ้าของ 250 หลังลดทุนจดทะเบียน 50 - ทุนจดทะเบียน 250 - ขาดทุนสะสม 0 - ส่วนของเจ้าของ 250 6.6 การเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ สามารถทำได้ 2 รูปแบบ คือ 1. การแตกหุ้น (Stock Split) คือ การแบ่งมูลค่าของกิจการ ทำให้มีจำนวนหุ้นมากขึ้นแต่มูลค่ากิจการยังคงเท่าเดิมเนื่องจากราคาหุ้นจะลดลง ซึ่งมีข้อดีคือ * จำนวนหุ้นมากขึ้น ทำให้สภาพคล่องในการซื้อขายหุ้นมีมากขึ้น * ราคาหุ้นต่ำลง ทำให้ผู้ลงทุนรายย่อยเข้าซื้อหุ้นได้ง่ายขึ้น 2. การรวมหุ้น (Reverse Stock Split) คือ การรวมมูลค่าของกิจการ ทำให้มีจำนวนหุ้นน้อยลงแต่มูลค่ากิจการยังคงเท่าเดิมเนื่องจากราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้น ซึ่งมีข้อดีคือ * ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นทำให้ราคามีเสถียรภาพมากขึ้น เนื่องจากความผันผวนของอัตราผลตอบแทนจากราคาลดลง เช่น - หากราคาหุ้นอยู่ที่ 0.10 บาท เมื่อราคาเปลี่ยนแปลงหนึ่งช่องราคาเป็น 0.09 บาท อัตราผลตอบแทนจะลดลงถึง (0.09 – 0.10)/0.10 = -0.10 หรือ -10% - หากราคาหุ้นอยู่ที่ 1.00 บาท เมื่อราคาเปลี่ยนแปลงหนึ่งช่องราคาเป็น 0.99 บาท อัตราผลตอบแทนจะลดลงเพียง (0.99 – 1.00)/1.00 = -0.01 หรือ -1% 6.7 เงินปันผล (Cash Dividend) คือ เงินสดที่จ่ายให้กับผู้ถือหุ้นจากกำไรหรือกำไรสะสมของกิจการ และในทางบัญชีกำไรสะสมจะลดลง ทำให้ส่วนของเจ้าของลดลง 1. ประโยชน์ของเงินปันผล เป็นผลตอบแทนคืนให้กับผู้ถือหุ้น 2. ผลกระทบต่อราคาหุ้น โดยทั่วไปวันที่ขึ้นเครื่องหมาย XD เพื่อกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่จะได้รับเงินปันผล หากไม่มีผลกระทบของความผันผวนของตลาดแล้ว ราคาหุ้นมักจะลดลงเท่ากับเงินปันผล เช่น หากราคาหุ้น 10 บาท ปันผล 0.50 บาท ราคาหุ้นมักจะลดลง 0.50 บาท * มูลค่ากิจการ (Market Capitalization) = ราคาหุ้น X จำนวนหุ้นทั้งหมดที่กิจการเสนอขาย 6.8 หุ้นปันผล (Stock Dividend) เป็นการออกหุ้นใหม่ และปันผลเป็นจำนวนหุ้นให้ผู้ลงทุน ส่งผลให้จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้น ซึ่งในทางบัญชีทุนจดทะเบียนจะเพิ่มขึ้น กำไรสะสมจะลดลง ทำให้ส่วนของเจ้าของเท่าเดิม 1. ประโยชน์ของการปันผลเป็นหุ้น * บริษัทสามารถนำเงินสดที่มีไปขยายกิจการ * ผู้ลงทุนยังรู้สึกว่าตนเองได้ผลตอบแทน เนื่องจากได้จำนวนหุ้นที่มากขึ้น แม้ว่าการปันผลเป็นหุ้นจะทำให้ราคาหุ้นลดลงด้วยก็ตาม * จำนวนหุ้นที่มากขึ้น ทำให้สภาพคล่องในการซื้อขายหุ้นมากขึ้น 2. ผลกระทบต่อราคาหุ้น ราคาหุ้นลดลงจากผลของ Dilution effect (Dilution effect เกิดขึ้นเมื่อมีการออกหุ้นใหม่ให้กับผู้ลงทุน) 6.9 การซื้อหุ้นคืน (Stock Repurchase) คือ การที่บริษัทซื้อหุ้นของตนเองคืนจากผู้ลงทุน ซึ่งมักทำในภาวะที่บริษัทเชื่อว่าราคาหุ้นในปัจจุบันต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Undervalue) 1. วิธีการซื้อหุ้นคืน บริษัทต้องประกาศซื้อหุ้นคืนล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 14 วันก่อนซื้อหุ้นคืน ซึ่งวิธีการซื้อหุ้นคืนทำได้ 2 วิธี คือ * ซื้อหุ้นบนกระดานซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ต้องดำเนินการให้เสร็จใน 6 เดือน * เสนอซื้อหุ้นจากผู้ลงทุน ต้องดำเนินในระหว่าง 10 – 20 วัน 2. การขายหุ้นคืน บริษัทสามารถขายหุ้นที่ซื้อมาคืนได้ภายใน 3 ปี (ขายได้ผ่านกระดานซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ หรือ เสนอขายให้ผู้ลงทุน) หากไม่ขายคืนหรือขายคืนไม่หมดบริษัทต้องตัดหุ้นจำนวนดังกล่าวออกและขอลดทุนจดทะเบียน 3. ผลกระทบต่อราคา * ในระหว่างซื้อหุ้นคืน ไม่มีผลกระทบตรงต่อราคาหุ้น แต่มีผลเชิงจิตวิทยาเนื่องจากเป็นการส่งสัญญาณจากบริษัทว่าราคาหุ้น ณ ปัจจุบันต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Undervalue) * หลังซื้อหุ้นคืน จำนวนหุ้นลดลง (เปรียบเสมือนจำนวนคนที่มาขอแบ่งกำไรและปันผลของบริษัทลดลง) ดังนั้นหากบริษัทมีกำไรและปันผลเท่าเดิมจะมีผลให้กำไรต่อหุ้นและปันผลต่อหุ้นเพิ่มขึ้น ส่งผลบวกต่อราคาหุ้น
1345198.txt
ผลตอบแทนและความเสี่ยงของกองทุนรวม 2. ผลตอบแทนของกองทุนรวม ผลตอบแทนของกองทุนรวมประกอบด้วย 1. ผลตอบแทนจากส่วนต่างราคา (Capital gain) 2. เงินปันผล (Dividend) ซึ่งมีสูตรการคำนวณอัตราผลตอบแทนดังนี้ * Capital gain = (ราคาปลายงวด – ราคาต้นงวด) / ราคาต้นงวด * เงินปันผล = เงินปันผล / ราคาต้นงวด * อัตราผลตอบแทนรวม = (เงินปันผล + ราคาปลายงวด – ราคาต้นงวด) / ราคาต้นงวด - ราคาของกองทุน หมายถึง NAV per unit (มูลค่าสินทรัพย์สุทธิต่อหน่วย) - ราคาปลายงวดมีความหมายรวมถึงราคาขาย - ราคาต้นงวดมีความหมายรวมถึงราคาต้นทุนหรือราคาซื้อ - ราคาต้นทุน คือ ราคาที่รวมค่าใช้จ่ายในการซื้อหลักทรัพย์ ** ผลตอบแทนจากกองทุนรวมมีรูปแบบการคำนวณได้หลากหลายเช่นเดียวกับการคำนวณหลักทรัพย์รายตัวในบทที่ 2 ของหนังสือติวสอบความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการเงินและการลงทุน อย่างไรก็ตามในเนื้อหาบทนี้จะใช้วิธีการคำนวณแบบ HPR (Holding Period Return) เท่านั้น ตัวอย่าง 1 กองทุนรวม AAA มีราคา NAV ต่อหน่วยอยู่ที่ 20 บาท ณ ปี 2562 และมีราคา 22 บาท ณ ปี 2563 และระหว่างปีกองทุนให้เงินปันผล 1 บาท จงหาอัตราผลตอบแทน Capital gain, เงินปันผล และอัตราผลตอบแทนรวม วิธีทำ ขั้นตอนที่ 1 แทนสูตร ราคาปลายงวด = 22 บาท => (ราคาของปีหลัง) ราคาต้นงวด = 20 บาท => (ราคาของปีก่อนหน้า) ขั้นตอนที่ 2 คำนวณ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล = 1 / 20 = 0.05 หรือ 5% อัตราผลตอบแทนจากส่วนต่างราคา = (22 – 20) / 20 = 0.10 หรือ 10% อัตราผลตอบแทนรวม = (1+22-20) / 20 = 0.15 หรือ 15% (ซึ่งเท่ากับผลตอบแทนจากปันผล + ส่วนต่างราคา => 5%+10% = 15%) เพิ่มเติม ในการเปรียบเทียบการลงทุน ผู้ลงทุนควรใช้อัตราผลตอบแทนรวมสุทธิซึ่งเป็นอัตราผลตอบแทนหักค่าใช้จ่ายในการลงทุน
1345200.txt
ประเภทของธุรกิจและที่มาของเงินทุนในการทำธุรกิจ 1.1 ประเภทของธุรกิจในไทย 5 ประเภท 1. กิจการเจ้าของคนเดียว * เจ้าของคนเดียว * ข้อดีคือ กฎระเบียบน้อย และไม่ต้องเสียภาษีนิติบุคคล * ข้อเสียคือ เงินทุนจำกัด เนื่องจากมีเจ้าของเพียงคนเดียว * เจ้าของรับผิดชอบในหนี้สินทั้งหมด * ธุรกิจถือเป็นบุคคลธรรมดา 2. ห้างหุ้นส่วนสามัญ * เจ้าของ 2 คนขึ้นไป * เจ้าของรับผิดชอบในหนี้สินทั้งหมด * จะจดเบียนเป็นนิติบุคคลหรือไม่ก็ได้ (ไม่จดถือเป็นบุคคลธรรมดา หากจดถือเป็นนิติบุคคล) 3. ห้างหุ้นส่วนจำกัด * เจ้าของ 2 คนขึ้นไป * หุ้นส่วนมี 2 ประเภท คือ 1. รับผิดชอบหนี้สินไม่จำกัด 2. รับผิดชอบหนี้สินจำกัด โดยรับผิดชอบหนี้สินไม่เกินเงินที่ลงทุนในห้างหุ้นส่วน * ต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล 4. บริษัทจำกัด * เจ้าของ 3 คนขึ้นไป * ต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล * แบ่งทุนออกเป็นหุ้น ซึ่งแต่ละหุ้นมีราคาเท่ากัน เช่น แบ่งทุน 10 ล้านบาท ออกเป็น 1 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 10 บาท * มูลค่าที่ตราไว้ต่อหุ้น (ราคาหุ้นเริ่มต้น) ต้อง ≥ 5 บาท * ผู้ถือหุ้นแต่ละคนรับผิดชอบหนี้สินจำกัด (เฉพาะเงินค่าหุ้นที่ยังส่งไม่ครบ) * ข้อดีคือ หนี้สินแยกชัดเจนระหว่างกิจการกับตัวบุคคล * ข้อเสียคือ กฎระเบียบเยอะ 5. บริษัทจำกัดมหาชน * เจ้าของ 15 คนขึ้นไป * แบ่งทุนออกเป็นหุ้น ซึ่งแต่ละหุ้นมีราคาเท่ากัน และต้องชำระหุ้นเต็มมูลค่าตั้งแต่ครั้งแรก * เสนอขายหุ้นกับประชนทั่วไป * ต้องมีกรรมการ ≥ 5 คน และไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งต้องมีที่อยู่ในไทย * ข้อดีคือ หนี้สินแยกชัดเจนระหว่างกิจการกับตัวบุคคล, สามารถระดมทุนได้จากประชาชนทั่วไป * ข้อเสียคือ กฎระเบียบเยอะ, มี ก.ล.ต. เข้ามากำกับดูแล 1.2 แหล่งที่มาของเงินทุนในการทำธุรกิจ ที่มาของเงินทุนในการทำธุรกิจ (ธุรกิจหรือกิจการในที่นี้ ครอบคลุมธุรกิจทั้ง 5 ประเภทซึ่งได้แก่ กิจการเจ้าของคนเดียว ห้างหุ้นส่วนสามัญ ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด บริษัทจำกัดมหาชน) นั้นมาจาก 3 แหล่ง คือ 1. การกู้ยืม 2. การระดมทุนจากผู้ถือหุ้น (เจ้าของกิจการ) 3. กำไรสะสมของกิจการ ตัวอย่างวิธีการระดมทุนและสถานะผู้ให้เงินทุน 1. การกู้ยืม กู้ยืมจากสถาบันการเงิน, ออกตราสารหนี้ ผู้ให้เงินทุนมีสถานะเป็นเจ้าหนี้ 2. การระดมทุนจากผู้ถือหุ้น ออกตราสารทุน ผู้ให้เงินทุนมีสถานะเป็นเจ้าของกิจการ 3. กำไรสะสมของกิจการ กำไรของกิจการในแต่ละปี (โดยเนื้อหาบทที่ 1 - 4 นี้จะกล่าวถึงตราสารทุน)
1345193.txt
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 8. การกำกับดูแลการซื้อขายหลักทรัพย์ 8.1 หลักการและแนวทางการกำกับดูแล ตลาดหลักทรัพย์ฯ ใช้หลักการ การกำกับดูแลให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ลงทุนและผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ซึ่งประกอบด้วย 2 แนวทาง ดังนี้ 1. การป้องกันไม่ให้เกิดการซื้อขายที่ไม่เป็นธรรม (Preventive) เป็นมาตรการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดการกระทำผิด ซึ่งมีรายละเอียดแต่ละมาตรการดังนี้ 1) การส่งคำสั่งซื้อขายที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากการส่งคำสั่งซื้อขายของผู้ลงทุนต้องทำผ่านสมาชิก (บล.) ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงทำความเข้าใจกับสมาชิกเกี่ยวกับลักษณะของคำสั่งซื้อขายที่ไม่เหมาะสม 2) การตรวจสอบระดับของปริมาณการซื้อขายของหลักทรัพย์ที่ผิดปกติ เมื่อตรวจพบ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะติดต่อไปยัง บล. เพื่อให้ บล. กำกับดูแลผู้ลงทุนที่ทำให้เกิดการซื้อขายผิดปกติ โดย บล. อาจดำเนินการให้ลูกค้าต้องใช้บัญชี Cash Balance ในการซื้อหลักทรัพย์ มาตรการ Cash Balance จะทำให้ลูกค้าต้องนำเงินมาเข้าบัญชีก่อน ซึ่งอาจทำให้วงเงินในการซื้อหลักทรัพย์ลดลงและไม่สามารถกู้เงินมาซื้อหลักทรัพย์ผ่านบัญชี Credit Balance ได้ 3) การแจ้งเตือนผู้ลงทุนว่าหลักทรัพย์ใดมีปริมาณการซื้อขายที่ผิดปกติ (Trading alert) โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ จะแสดงรายชื่อหลักทรัพย์ที่มีปริมาณการซื้อขายผิดปกติใน Trading alert list เป็นรายวัน ผ่านเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ 4) การกำหนดให้ลูกค้าต้องใช้บัญชี Cash Balance ให้ลูกค้าทุกคนใช้บัญชี Cash Balance ในการลงทุนในหุ้นที่มีปริมาณการซื้อขายผิดปกติ เพื่อลดความเสี่ยงให้กับผู้ลงทุนและลดปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ผิดปกติ 5) การจัดการกับข้อมูลสำคัญที่ยังไม่เปิดเผย เช่น การกำหนดให้บริษัทจดทะเบียนแสดงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับข่าวลือต่างๆ เพื่อป้องกันการใช้ข้อมูลภายในของบริษัทมาแสวงหาผลประโยชน์ 2. การติดตามและตรวจสอบการซื้อขาย (Investigation) ทำได้ 2 ลักษณะ ดังนี้ 1) ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ ที่มีชื่อว่าระบบ WATCHs (Warning Abnormal Trading & Catching Hostile System) ซึ่งสามารถตรวจสอบข้อมูลการซื้อขายได้ Real Time รวมถึงการค้นหาข้อมูลย้อนหลัง โดยตัวอย่างความสามารถของระบบมีดังนี้ 1. แสดงภาพรวม เช่น การเคลื่อนไหวของราคาและปริมาณการซื้อขายของแต่ละหลักทรัพย์ และของดัชนี (Index) ในแบบ Real time 2. การแจ้งเตือน เมื่อพบการเคลื่อนไหวของราคาหรือปริมาณการซื้อขายที่ผิดปกติ ของหลักทรัพย์ 3. การค้นหา การค้นหาลักษณะการซื้อขายทั้งจากข้อมูลในอดีต และข้อมูล Real time 2) ใช้เจ้าหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลการซื้อขาย * แหล่งที่มาของข้อมูล มาจากข้อร้องเรียนของผู้ลงทุน, มาจากการวิเคราะห์ลักษณะการซื้อขายของเจ้าหน้าที่วิเคราะห์ * การตรวจสอบพฤติกรรม เมื่อพบข้อสงสัย เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบลักษณะการซื้อขาย เช่น คำสั่งซื้อขายมาจาก บล. ใด, ใครเป็นผู้ส่งคำสั่งซื้อขาย, มีข้อมูลใดที่เป็นประโยชน์กับผู้ส่งคำสั่งหรือไม่ (เช่น ใช้ประโยชน์จากข้อมูลภายในหรือไม่) 8.2 ลักษณะของการซื้อขายที่ไม่เป็นธรรม ข้อบังคับ/กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายที่ไม่เป็นธรรม มี 2 ส่วน ดังนี้ 1. ข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์ กำหนดว่าลักษณะของคำสั่งซื้อขายที่ไม่เหมาะสมมีดังนี้ * การซื้อขายที่ทำให้ราคาปิดเปลี่ยนแปลงผิดปกติ * การซื้อและขายหลักทรัพย์ของบุคคลเดียวกัน เช่น ซื้อหุ้นที่ตนเองเป็นผู้เสนอขาย * การซื้อขายโดยสมรู้ร่วมคิดกัน เช่น การซื้อขายไปมาหลายๆ รอบ ระหว่าง นาย A และ * นาย B เพื่อสร้างปริมาณซื้อขาย * การซื้อขายต่อเนื่อง (Series of Transaction) เช่น การขายที่ต่อเนื่องจนทำให้ราคาลงแรง ทำให้ผู้ลงทุนตกใจและขายหุ้นออกมา จากนั้นตนเองก็เข้าซื้อหุ้นในระดับราคาที่ต่ำ * การซื้อหรือขายเพื่อไม่ให้ผู้อื่นส่งมอบหลักทรัพย์ได้ตามหน้าที่ เช่น นาย A เห็นว่านาย C * ได้ขายหุ้น PPP ล่วงหน้า (Short Sale) ไว้ โดยมีสัญญาจะซื้อคืนในอีก 3 เดือน นาย A จึงเข้าไปซื้อหุ้น PPP ทั้งหมดจนทำให้นายซื้อไม่สามารถซื้อหุ้น PPP มาคืนได้ตามสัญญา * การซื้อ Warrant แต่ขายหุ้นอ้างอิง หรือ การขาย Warrant แต่ซื้อหุ้นอ้างอิง ในวันเดียวกัน * ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ ที่ตนเองหรือผู้สมรู้ร่วมคิดปล่อยข่าวลือบางอย่าง โดยที่ข่าวนั้นยังไม่ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ 2. ข้อกฎหมายของ พรบ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ได้กำหนดลักษณะการซื้อขายที่ไม่เป็นธรรมไว้ดังนี้ * การให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับหลักทรัพย์ * การใช้ข้อมูลภายในเพื่อประโยชน์ในการซื้อขาย (Insider Trading) * การปั่นหุ้น การซื้อขายเพื่อทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดเกี่ยวกับราคาหรือปริมาณการซื้อขาย 8.3 บทลงโทษ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ตามข้อบังคับ/กฎหมาย ดังนี้ 1. บทลงโทษตามความผิดของข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์ * ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะลงโทษบริษัทสมาชิก และเจ้าหน้าที่ที่ส่งคำสั่งซื้อขายเท่านั้น ไม่สามารถลงโทษผู้ลงทุนได้ * คณะกรรมการที่ตลาดหลักทรัพย์แต่งตั้งขึ้นเป็นผู้พิจารณาบทลงโทษ * บทลงโทษจะมีตั้งแต่ ภาคทัณฑ์, ปรับเงิน, พักการปฏิบัติงาน เป็นต้น 2. บทลงโทษตามความผิดของ พรบ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ * ก.ล.ต. เป็นผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าบุคคลหรือกลุ่มบุคคลทำการซื้อขายที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ * บทลงโทษมี 2 ทาง ซึ่งขึ้นอยู่กับความร้ายแรงในการกระทำผิด - ความผิดอาญา - ความผิดทางแพ่ง บทลงโทษจะเป็น, การเสียค่าปรับ, ห้ามซื้อขายหลักทรัพย์ไม่เกิน 5 ปี, ห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดฯ ไม่เกิน 10 ปี เป็นต้น 8.4 ความสำคัญของการกำกับดูแลการซื้อขาย การกำกับดูแลการซื้อขายที่ดีจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องซึ่งส่งผล ดังนี้ ผู้ลงทุน * ทำให้ผู้ลงทุนนำเงินมาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น * ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน บริษัทสมาชิก (บล.) รายได้ที่เพิ่มขึ้น จากจำนวนและปริมาณการลงทุนของผู้ลงทุนที่เพิ่มขึ้น * บริษัทจดทะเบียน สนใจนำบริษัทเข้ายจดทะเบียนในตลาดฯ มากขึ้น ระดมทุนได้ง่ายขึ้นตลาดทุนและเศรษฐกิจ * ชาวต่างชาติมั่นใจและนำเงินเข้ามาลงทุนมากขึ้น * ภาพลักษณ์ที่ดีต่อระบบการเงิน
1345188.txt
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 12. ภาษีของการลงทุนในตราสารทุน เมื่อผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทน ทั้งจากปันผล (Dividend) และกำไรจากส่วนต่างราคา (Capital Gain) ผู้ลงทุนมีหน้าที่ต้องเสียภาษี โดยแบ่งเป็น 3 กรณี ตามประเภทผู้ลงทุน ดังนี้ บุคคลธรรมดา * ได้รับการยกเว้น - เลือกได้ระหว่าง หัก ณ ที่จ่าย 10% หรือ นำปันผลไปรวมเป็นรายได้เพื่อเสียภาษี (การนำเงินปันผลไปรวมเป็นรายเพื่อเสียภาษี ถือเป็นการขอภาษีที่จ่ายไปจากการหัก ณ ที่จ่ายคืน แล้วจ่ายภาษีใหม่ ตามอัตราของฐานภาษีบุคคลของผู้ลงทุน) - ยกเว้นภาษี หากหลักทรัพย์ที่ลงทุนได้รับการส่งเสริมการลงทุน (BOI) นิติบุคคลทั่วไป * นำไปรวมเป็นรายได้เพื่อเสียภาษี - หัก ณ ที่จ่าย 10% ก่อนแล้วนำเงินปันผลครึ่งหนึ่งไปรวมเป็นรายได้และเสียภาษี - ยกเว้นภาษี กรณีถือหลักทรัพย์ที่จ่ายปันผล ≥25% ของหุ้นทั้งหมด และลงทุนก่อนปันผล 3 เดือนและยังคงถือครองหลังปันผลอีก 3 เดือน (หน้า 3 หลัง 3) - ยกเว้นภาษี หากหลักทรัพย์ที่ลงทุนได้รับการส่งเสริมการลงทุน (BOI) นิติบุคคลที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ * นำไปรวมเป็นรายได้เพื่อเสียภาษี - หัก ณ ที่จ่าย 10% ก่อนแล้วนำเงินปันผลครึ่งหนึ่งไปรวมเป็นรายได้และเสียภาษี - ยกเว้นภาษี กรณีลงทุนก่อนปันผล 3 เดือนและ ยังคงถือครองหลังปันผลอีก 3 เดือน (หน้า 3 หลัง 3) - ยกเว้นภาษี หากหลักทรัพย์ที่ลงทุนได้รับการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เนื่องจากกว่าผู้ลงทุนจะได้เงินปันผลนั้น เงินก้อนนี้ถูกหักทั้งภาษีนิติบุคคล (20% ของกำไรก่อนภาษี) และ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (10% ของกำไรสุทธิ) ให้กับสรรพกรมาก่อน ขณะที่ผู้ลงทุนอาจมีฐานภาษีบุคคลเพียง 15% ดังนั้นผู้ลงทุนอาจขอคืนภาษี (ด้วยวิธีการนำมารวมเป็นรายได้) และชำระภาษีใหม่ตามฐานภาษีที่ 15%
1345192.txt